ฝุ่นแดงเดือด กทม. 50 เขต 15 จังหวัด วิกฤต PM2.5 GISTDA ถอดบทเรียนปี 67 ชี้ไทยเผชิญภัยฝุ่นยาวนานกว่า 4 เดือนต่อปี
กรุงเทพมหานครเผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศในระดับวิกฤตอีกครั้ง เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 ธันวาคม 2568 GISTDA รายงานว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ 50 เขตของ กทม. เกินมาตรฐานในระดับ “สีแดง” ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ โดยสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวง แต่ยังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเตรียมพร้อมและรับมือกับ “ฤดูกาลฝุ่น” ที่กลับมาเยือนอย่างต่อเนื่อง
กทม. จมฝุ่น “สีแดง” ทั้ง 50 เขต: แหล่งกำเนิดมลพิษที่ซับซ้อน
จากข้อมูลอัปเดตค่าฝุ่น PM2.5 เวลา 06.00 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม 2568 จากแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” โดย GISTDA พบว่า:
- ทั่วประเทศ: มี 15 จังหวัด ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ “สีแดง” (เกินมาตรฐานและมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง) และอีก 25 จังหวัดอยู่ในระดับ “สีส้ม” (เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ)
- กรุงเทพมหานคร: เป็นพื้นที่วิกฤต โดยพบว่า ทุกเขตทั้ง 50 เขต มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีแดง อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 05.00 น. โดยเฉพาะเขตที่มีการรายงานค่าสูง อาทิ หนองแขม, บางบอน, บางแค, ทวีวัฒนา, บางขุนเทียน, ภาษีเจริญ, จอมทอง, ตลิ่งชัน, ทุ่งครุ, ธนบุรี, บางกอกใหญ่, ราษฎร์บูรณะ, บางกอกน้อย, บางคอแหลม และคลองสาน
- แนวโน้ม: คาดการณ์ล่วงหน้า 3 ชั่วโมง ชี้ว่าคุณภาพอากาศจะยังคงอยู่ในระดับสีแดงและสีส้มในหลายพื้นที่
แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นในเขตเมือง
ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในเขต กทม. และปริมณฑล มีแหล่งกำเนิดที่หลากหลาย แต่สามารถจำแนกหลักๆ ได้ดังนี้:
- ภาคคมนาคม/ยานยนต์ (แหล่งกำเนิดหลัก): ไอเสียจากรถยนต์ โดยเฉพาะรถบรรทุกและรถยนต์ดีเซลเก่าที่มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ (NOx และ PM2.5) ที่สำคัญที่สุดในเขตเมือง
- ภาคอุตสาหกรรม: มลพิษจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะโรงงานที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
- การเผาในที่โล่ง: แม้จะเป็นปัญหาหลักในภาคเกษตรกรรม (การเผาตอซังข้าวหลังเก็บเกี่ยว) แต่ฝุ่นจากการเผาในพื้นที่โดยรอบและข้ามพรมแดนก็ส่งผลกระทบต่อ กทม. ด้วย
- สภาพภูมิอากาศ: ในช่วงปลายปีถึงต้นปี (ธันวาคม-เมษายน) สภาพอากาศที่นิ่ง และความกดอากาศสูง ทำให้ฝุ่นไม่ลอยสูงและมีการสะสมตัวมากขึ้น
กทม. ยกระดับมาตรการรับมือ PM2.5 ปี 2568
เพื่อเร่งควบคุมปัญหา กทม. ได้มีการยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM2.5 โดยมุ่งเน้นที่การควบคุมแหล่งกำเนิดหลักและการดูแลสุขภาพเชิงรุก:
คุมเข้มยานยนต์และการจราจร
- ลดมาตรฐานควันดำ: เพิ่มความเข้มข้นของการจัดการรถยนต์ควันดำ จากเดิมห้ามเกิน 30% เป็น ห้ามเกิน 20% ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568
- เขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone: LEZ): กำหนดเขต LEZ ครอบคลุมพื้นที่ 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ และส่งเสริมการลงทะเบียน Green List เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ตรวจจับควันดำ: เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับรถควันดำทั้งกลางวันและกลางคืน
การดูแลสุขภาพเชิงรุกและระบบเตือนภัย
- คลินิกมลพิษ: เปิด คลินิกมลพิษ (Pollution Clinic) และ สายด่วนสุขภาพ 1646 เพื่อให้คำปรึกษาและดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น
- ห้องปลอดฝุ่น: เตรียมจัดทำ ห้องปลอดฝุ่น (Clean Room) เพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง
- ระบบเตือนภัย: เสริมระบบเตือนภัย โดยมีการรายงานสถานการณ์ฝุ่นพร้อมคำแนะนำการป้องกันสุขภาพที่ชัดเจนผ่านหลายช่องทาง รวมถึงแอปพลิเคชัน AirBKK และ LINE ALERT
บทเรียนจากปี 2567: ภัยฝุ่นที่ยาวนานเกินคาด
สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในช่วงปลายปี–ต้นปีใหม่ของไทยเป็นปัญหาซ้ำซาก GISTDA จึงได้นำข้อมูลสถานการณ์ปี 2567 มาย้อนดูเพื่อเป็นบทเรียนในการเตรียมรับมือปี 2568 ดังนี้:
- ความยาวนานของมลพิษต่อปี (ปี 2567): กว่า 25 จังหวัด มีจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานรวมมากกว่า 4 เดือน และบางจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานสูงถึง กว่า 112 วันต่อปี
- ปอดคนไทยรับฝุ่นติดต่อกันนานเท่าใด?: คนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนต้องสูดอากาศพิษติดต่อกันยาวนาน สูงสุดกว่า 44 วัน!
- ช่วงเวลาเฝ้าระวัง: ธันวาคม เป็นช่วงเริ่มต้นที่ต้องเฝ้าระวังฝุ่นสูงในภาคกลางและภาคตะวันออกอีกครั้ง ก่อนจะทวีความรุนแรงในเดือนมกราคม-เมษายน
ข้อแนะนำในการรับมือและเตรียมความพร้อม
- สวมหน้ากาก: สวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง (เด็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ, หญิงตั้งครรภ์)
- ลดกิจกรรมกลางแจ้ง: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วงที่ค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้มและสีแดง
- ติดตามข้อมูล: โหลดแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ของ GISTDA และ AirBKK เพื่อตรวจวัดและติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์
- แจ้งเบาะแส: ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น รถควันดำ หรือการเผาในที่โล่ง ผ่านช่องทาง Traffy Fondue
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐ การเร่งผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด (Polluter Pays Principle) และความตระหนักในการป้องกันตนเองของประชาชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านฤดูกาลฝุ่นพิษนี้ไปได้อย่างปลอดภัย



