ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 10% ของทั่วโลก และมีการคาดการณ์ว่าปริมาณเสื้อผ้าที่ผลิตใหม่จะเพิ่มขึ้นสามเท่าในอีก 30 ปีข้างหน้าในยุคที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โลกกำลังเผชิญ “ปัญหาขยะ” ที่สะสมในปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะขยะสิ่งทอที่เป็นหนึ่งในปัญหาหลักทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 10% ของทั่วโลก และมีการคาดการณ์ว่าปริมาณเสื้อผ้าที่ผลิตใหม่จะเพิ่มขึ้นสามเท่าในอีก 30 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภค ขยะสิ่งทอที่เกิดจาก “แฟชั่น” อาจทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (1)
การวิจัยพบว่าเส้นใยเพื่อการผลิตสินค้าโดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดที่ 116 ล้านตันในปี 2565 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ในทางกลับกันอัตราการรีไซเคิลสิ่งทอกลับลดลงจาก 8.5% ในปี 2564 เหลือเพียง 7.9% ในปี 2565 นอกจากนี้ เส้นใยที่รีไซเคิลได้ส่วนใหญ่ยังมาจากขวดพลาสติก ไม่ใช่จากสิ่งทอที่ถูกใช้แล้วจริง ๆ โดยมีเพียงน้อยกว่า 1% เท่านั้นที่มาจากการรีไซเคิลสิ่งทอทั้งก่อนและหลังการใช้งานของผู้บริโภค (1)
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้ายังถูกผลิตใหม่กว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปีทั่วโลก ซึ่งสร้างขยะสิ่งทอในแต่ละปีมากถึง 92 ล้านตัน หรือคิดเป็น 7% ของขยะในหลุมฝังกลบทั้งหมด และอุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 10% ของทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งรวมกัน (2)
ดังนั้น ข้อดีของการซื้อสินค้ามือสองไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะที่เกิดขึ้นจากการผลิตสินค้าใหม่ แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ การวิจัยพบว่า การซื้อเสื้อผ้ามือสองสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 42% ลดการใช้พลังงานสะสม 27-42% (1) และลดการใช้น้ำได้ถึง 336 ลิตรต่อชิ้น (3)
ตลาดสินค้ามือสองทั่วโลกมีแนวโน้มว่า กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าจากข้อมูลของ Loop Generation รายงานว่า แม้ 63% ของคนอังกฤษซื้อสินค้ามือสอง แต่ในตู้เสื้อผ้าของพวกเขามีเพียง 1-10% เท่านั้นที่เป็นสินค้ามือสอง ซึ่งสะท้อนว่า “ฟาสต์แฟชั่น” (Fast fashion) ยังคงครองตลาด การผลิตและทิ้งเสื้อผ้าอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เกิดขยะสิ่งทอที่ย่อยสลายได้ยากจำนวนมหาศาล และสร้างปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ (2)
การใช้น้ำในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตกางเกงยีนส์หนึ่งตัวใช้น้ำถึง 7,570 ลิตร หรือการปล่อยสารเคมีและมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ การผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ยังทำให้ “ไมโครพลาสติก” เล็ดลอดสู่มหาสมุทรถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบนิเวศและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ เมื่อสะสมในร่างกายมนุษย์ในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หรือขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด และส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรุนแรง (4)
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ การเลือกสินค้ามือสองยิ่งเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์เชิงบวกอย่างมาก ในปี 2022 คนอเมริกันซื้อเสื้อผ้ามือสองรวมกันกว่า 1,400 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีก่อนหน้า ซึ่งช่วยลดความต้องการผลิตเสื้อผ้าใหม่ลง อีกทั้งตลาดสินค้ามือสองยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่เริ่มตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และมองว่าแฟชั่นยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ การสำรวจพบว่า 61% ของคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับเทรนด์ความยั่งยืน และเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (3)
ข้อแนะนำการเลือกบริโภคอย่างยั่งยืน (5)(6)
● เลือกใช้ก่อนซื้อใหม่ ตรวจสอบว่ามีสินค้ามือสองหรือสินค้ารีไซเคิลที่ตอบโจทย์การใช้งานหรือไม่
● บริจาคหรือขายต่อ แทนที่จะทิ้งสินค้าที่ไม่ใช้แล้ว ลองบริจาคหรือขายต่อ เพื่อให้สินค้ามีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
● สนับสนุนร้านค้าท้องถิ่น การซื้อสินค้ามือสองจากร้านค้าในชุมชนช่วยสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
● คำนึงถึงคุณภาพ เลือกสินค้ามือสองที่มีคุณภาพดี เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและลดความจำเป็นต้องซื้อใหม่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ การซื้อสินค้ามือสองยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน โดยร้านขายของมือสองส่วนใหญ่ดำเนินงานโดยองค์กรการกุศล ซึ่งรายได้จากการขายถูกนำไปสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชนและช่วยเหลือผู้ขาดแคลน การสนับสนุนร้านเหล่านี้จึงเป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ (5)
อย่างไรก็ดี สินค้ามือสองไม่ได้จำกัดแค่เสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ซึ่งช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดความต้องการแร่ธาตุหายาก การเลือกใช้อุปกรณ์มือสองยังช่วยลดมลพิษจากกระบวนการผลิตใหม่ และลดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศผู้ผลิต (6)
ดังนั้น การเลือกใช้สินค้ามือสองไม่ใช่เพียงการประหยัดเงินหรือการลดขยะ แต่คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ทุกครั้งที่เราตัดสินใจใช้สิ่งของที่ยังมีคุณค่าแทนการผลิตใหม่ เรากำลังช่วยยืดอายุการใช้งานของทรัพยากร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลใหม่ให้กับระบบนิเวศ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งต่อคุณค่าให้กับโลก สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับพวกเราทุกคน
ที่มา:
(1) https://circulareconomyjournal.org/articles/do-we-save-the-environment-by-buying-second-hand-clothes-the-environmental-impacts-of-second-hand-textile-fashion-and-the-influence-of-consumer-choices/
(2) https://www.loop-generation.com/blogs/news/why-buying-second-hand-clothes-matters
(3) https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2745970
(4) https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2717819
(5) https://www.fbwc.org/blog/5-environmental-impacts-of-thrift-shopping
(6) https://www.biologicaldiversity.org/programs/population_and_sustainability/sustainability/secondhand_101#