บทเรียน 12 ปี ฟาร์มลุงรีย์Smart Farmer วิถีเศรษฐกิจหมุนเวียน

ผู้สร้างจักรวาลไส้เดือนด้วย “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) และสามารถต่อยอดธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นที่ประจักษ์ บนพื้นที่ขนาดย่อมแค่ 2 งาน ในซอยเพชรเกษม 46 กรุงเทพฯ กระทั่งถูกยกให้เป็นฟาร์มเมอร์ตัวอย่าง ที่สามารถสร้างการเรียนรู้วิถี Smart farmer จนเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง

ชารีย์ บุญญวินิจ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “ลุงรีย์” เปิดใจ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ถึงบทเรียน 12 ปี ที่เขาได้พัฒนาการทำเกษตรด้วยการรู้จักตัวตนและความต้องการที่แท้จริง กระทั่งสามารถเปิดร้านอาหารจนมีลูกค้าหลงไหลในรสชาติที่อบอวนไปด้วยความสุข

ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของลุงรีย์มีทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไส้เดือน ควบคุมระบบน้ำด้วยไวไฟ กลายเป็น Digital farming บริหารจัดการฟาร์มผ่าน 4 เสาหลัก นั่นคือ1) จักรวาลไส้เดือน สร้างเครือข่ายคนมาร่วมพัฒนาสร้างสรรค์ดิน 2) การใช้นวัตกรรม ฟาร์มที่นำนวัตกรรมมาช่วยให้การทำเกษตรง่ายขึ้น 3) การผลิตองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งทำให้ฟาร์มแห่งนี้มีความสร้างสรรค์ และ 4) ความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นภาพลักษณ์และมาตรฐานของแบรนด์ฟาร์มลุงรีย์

เริ่มต้นจากทำเล็ก ๆ ทำให้น้อยที่สุด

ลุงรีย์แนะว่า ถ้าคิดจะทำเกษตรอย่าเพิ่งทำใหญ่ ทำให้น้อยที่สุดก่อน แล้วดูจุดคุ้มทุนว่าอยู่ตรงไหน ใช้เวลาเท่านี้จะได้งานอะไร “มันครอป (ผลผลิตที่ได้) เมื่อไหร่ได้เงินเท่าไหร่ เหมือนทำบัญชีก่อนเลยว่าต้นทุนเท่าไหร่ต่อแบท (Batch-ต้นทุนต่อรอบการผลิตหรือเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์) แบทหนึ่ง 6 กระบะหรือ 4 กระบะ ถ้าเราหาจุดคุ้มทุนได้ตั้งแต่ต้น เราก็จะรู้ว่าโหนด (Node-แปลงหนึ่งหรือหน่วยหนึ่ง) หนึ่งเท่านี้บาท เช่น โหนดหนึ่ง 5,000 บาท ถ้าเราคูณสิบ ต้นทุนก็ 50,000 บาท จะทำให้เรารู้ว่าต่อแบทใช้เงินเท่านี้กำไรเท่านี้”

แน่นอนว่าหลายคนที่คิดจะทำเกษตรมักอยากทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งปรับพื้นที่ ปลูกผัก เลี้ยงไก่โดยไม่รู้ว่าตัวเองถนัดทำอะไรหรือไม่ถนัดอะไร ต้องคิดว่าตัวเราชอบทำในสิ่งที่ถนัดแล้วไม่เห็นเงิน หรือทำในสิ่งที่ชอบน้อย แต่ได้เงินมาก จากนั้นมาวางแผนว่าอะไรเหมาะสมกับตัวเอง

“เช่น ถนัดทำเยอะ ๆ แต่ขายถูก หรือเราถนัดทำน้อย ๆ แต่ขายแพง เราอยู่ตลาดไหน เราขายใคร มันต้องเห็นหน้าตาชัดหมด แล้วค่อยสเกล (ขยาย) แต่ส่วนใหญ่อยากทำพร้อมกันทั้งหมดแล้วไม่เห็นอะไรเลย บัญชีก็ไม่เห็น พอผลผลิตออกมาก็รับมือไม่ไหว ขายไม่ถูก แปรรูปไม่เป็น ตลาดอยู่ที่ไหน”

ประเด็นที่ลุงรีย์ต้องการจะสื่อสารก็คือ การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเกษตรหรือการมีพื้นที่มากที่น้อย แต่อยู่ที่ว่าใครจะนำของเหลือส่วนเกินมาใช้อย่างไร ไม่ได้มีแค่มุม Waste (ขยะ) ดังนั้นนอกจากใจเย็น ๆ ต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า ตัวเราเองเป็นคนแบบไหน มีพื้นที่เท่าไหร่ กำลังเอาของไปขายใคร ทำยังไงให้ลดต้นทุน ไม่ใช่เห็นอื่นเขาทำอย่างนั้นแล้วอยากทำตาม

ลงมือทำแล้วต้อง “สื่อสาร”

สิ่งที่ลุงรีย์ให้ความสำคัญมากก็คือ “การสื่อสาร” จะต้องเล่าในสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้เข้าใจ เริ่มตั้งแต่ลูกน้องว่า การไม่โยนขยะในร้านทิ้งลงถัง (ปัจจุบันลุงรีย์เปิดร้านอาหารชื่อ OmakaHed) คือการสร้างมูลเพิ่มจากขยะ ให้เข้าใจว่าขยะคือเงิน และเป็นจุดประสงค์ของการเปิดร้านแบบนี้

นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องอธิบายให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารได้เข้าใจการนำวัตถุดิบมาใช้ อย่างเช่น เห็ดหรือต้นหอมที่นำมาประกอบอาหารมีการนำส่วนไหนมาใช้จนหมดโดยไม่เหลือทิ้ง ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่าร้านของเรามีความประณีต

“ค่าของการประณีตมีค่าเสียเวลา และประหยัดต้นทุนเพราะใช้ของที่คุ้มค่ามากที่สุด สุดท้าย หนึ่งเราได้สร้างนิสัยของการใช้อย่างหมดจด สองเราฉลาด เราเรียบเรียงสเต็ปหนึ่งสองสามสี่ห้าหก ใช้อย่างหมดเกลี้ยง โอเคแบบนั้น (เดิม) มันเร็วที่สุด แต่คนที่วิ่งเร็วที่สุดในตอนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่รวยที่สุดก็ได้”

บทเรียนมีอยู่เสมอแต่ต้องปรับตัวตลอด

ลุงรีย์ บอกว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่ได้บอกว่ามีความมั่นคงแล้ว แต่ที่รอดมาได้เพราะมีการปรับตัวมาตลอด วันนี้ฟาร์มอินทรีย์แห่งนี้ปรับตัวพร้อมสำหรับโควิด พร้อมสำหรับ PM2.5 พร้อมสำหรับ Climate change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) สิ่งที่ต้องปรับเพิ่มคือโซลูชัน หรือทางเลือกทางแก้ไขทางหนีทางรอด

ที่มากกว่านั้นลุงรีย์บอกว่า ต้องรู้ว่าฤดูกาลไหนควรขายอะไร หน้าฝนคนอยู่บ้านอาจสั่งอาหารออนไลน์กิน ต้องดันคหกรรมหรืองานหัตถกรรมให้สูงขึ้น แต่หน้าหนาวคนอยากดูเกษตร ผักมันฟูมันสวย อยากพาลูกไปวิ่งเล่น อากาศดี อาจจะต้องดันเกษตรเพิ่ม ส่วนคหกรรมปลายปีมีแฟร์เต็มไปหมดอาจจะต้องลดลง

“อันนี้เท่ากับเราสามารถกำคันเร่งได้ว่าตรงนี้ถ้ามันไปไม่ได้ ปรับตรงนี้เพิ่มขึ้น ปรับตัว ปรับแผนธุรกิจตลอดเวลา มันจึงอยู่รอด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นมา แล้วเราจะไปต่อในคุณค่าที่ตัวเองบอกว่าตัวเองดี แต่ไม่ได้ดูจังหวะ ไม่ได้ดูสังคม

เขาบอกว่าด้วยว่า ต้องรู้ว่า waste ที่เกิดขึ้นมีกี่แบบ waste ทั้งเวลา waste ทั้งคน waste ทั้งของ waste ทั้งขยะสะสม หรือ waste เรื่องค่าเช่า waste ค่าไฟ เราต้องรู้ว่า waste อะไร และอะไรจะเข้ามาแก้ไข หรือเปลี่ยนจากการนั่งทำออนไลน์เป็น Word of mouth เป็นปากต่อปาก เมื่อเน้นปากต่อปากแล้วก็ไม่ต้องทำออนไลน์

หลักการของลุงรีย์ก็คือ ทำแล้วเกิดผลประโยชน์ ทำให้ทรัพยากรดีขึ้น ซึ่งเรื่องเงินชัดที่สุด ทำแล้วลูกน้องได้เงินเยอะขึ้น ได้จ้างงานเยอะขึ้น อาจจะได้เงินเท่าเดิมแต่เกิดประโยชน์กับคนอื่นด้วย

โดยเฉพาะสิ่งที่ทำนั้นทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรือทำแล้วไม่ได้เงิน ไม่ได้งาน แต่บรรยากาศในชีวิตดีขึ้น อากาศที่หายใจบริสุทธิ์ขึ้น รอบ ๆ ที่ทำอยู่เขียวขึ้น ขยะที่อยู่บริเวณบ้านน้อยลง จึงต้องบาลานซ์ให้ดีว่าจะเลือกขาไหน แต่โลกนี้ก็ไม่มีได้ทั้งสามอย่าง อาจจะต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือมีบางอย่าง แต่สุดท้ายมันตอบโจทย์เราหรือเปล่า

ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาและจัดการให้ลงตัว

ลุงรีย์แนะว่า การจัดการขยะอาหารโดยใช้แมลงวันลาย ใช้ไส้เดือน ต้องรู้ว่าถ้าเป็นกุ๊กไก่จะใช้ข้าวก้นหม้อ เลี้ยงไส้เดือนใช้กากผลไม้ ถ้าเศษอาหารที่เละ ๆ ให้หนอนแมลงวันลาย ถ้าเอาข้าวทั้งหม้อไปเทให้ไส้เดือนกินมันเน่าบูด ร้อนตาย ถ้าเอากากผลไม้ไปโยนให้ไก่กิน…เหยียบเละ ถ้าใช้เครื่องมือผิดตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดประโยชน์

“ที่ต้องมีหลายอย่าง ชอบอย่างละนิด ชอบได้ยินเสียงไก่มีลูกเล็ก เลี้ยงไส้เดือนเป็นจุดเริ่มต้นของดินที่ดี ได้ปุ๋ยใช้ เลี้ยงหนอนแมลงวันลายได้อาหารไก่กิน ก็ตอบโจทย์ตัวผม ไม่รบกวนเวลาผมมาก ทุกอย่างจบ มีรูทีน ลูปจบในหนึ่งเดือน ไก่ออกไข่ทุกวัน เห็นประโยชน์จะจะทุกวัน

“พอปุ๋ยไส้เดือนเยอะลุงรีย์ขายปุ๋ยไม่ไหว ลุงรีย์อยากเพาะเห็ดก็เลยเกิดการเชื่อมโยงว่าไม่ต้องไปวิ่งขายปุ๋ยนะ ไม่ต้องไปวิ่งขายเห็ดนะ แต่ได้ดอกเห็ดคุณภาพสด ได้คุณภาพดีโดยที่ไม่ต้องเปิดแอร์เลี้ยง มันก็คุ้มทุนแหละ แต่มันเก็บได้ไม่นาน

“ลุงรีย์ก็เลยทำเรื่องการ booking ทำให้รู้ว่าต้องปลูกผักเท่าไหร่ต่อเดือน แล้วคนก็จองเข้ามาจ่ายเงินเรียบร้อย 100% อีกเดือนค่อยมากินและก็ไม่ waste เพราะเรารู้ว่าต้องปลูกเห็ดประมาณ 80 กะบะ เพื่อต้อนรับลูกค้าประมาณ 80 คน…ไม่น่าต้องใช้พนักงานเยอะมาก มีการเตรียมงานได้ ทำเองได้ และรู้ว่าจะมีรายได้ชัดเจนต่อโต๊ะเท่าไหร่ นั่งกี่ชั่วโมง หารออกมาเป็นค่าตัวเรา ค่าไอเดียเรา ก็โอเคชัดเจน ถ้าอยากเพิ่มกว่านี้ก็คูณสอง…”

นี่คือหลักคิดหลักบริหารของ ลุงรีย์ชารีย์ บุญญวินิจ ที่กลั่นการทำเกษตรอินทรีย์ออกมาเป็นความสำเร็จในช่วง 12 ปี

Related posts

ค้นพบ ‘เทอโรซอร์’ สัตว์เลื้อยคลานบิน ครั้งแรกของไทย

ถ้าอยากหาย (ป่วย) จะซ้ำเติมเพิ่มทุกข์

ขอขมาให้อภัย ปล่อยวางอดีต