29 ธันวาคม ‘วันอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ’

29 ธันวาคม “วันอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ” เพราะความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่คือรากฐานความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และอนาคตของมวลมนุษยชาติ

วันที่ 29 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ” (International Day for Biological Diversity) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ เพื่อรำลึกถึงวันที่อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2536 โดยมีพันธกิจสำคัญในการปกป้องรักษาสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศที่เป็นรากฐานของการดำรงชีวิตของมนุษย์

ทำไมต้องวันที่ 29 ธันวาคม?

จุดเริ่มต้นของวันนี้ย้อนไปในปี พ.ศ. 2536 เมื่อองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญ เพื่อรำลึกถึงวันที่อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity – CBD) มีผลบังคับใช้เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ:

  • การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
  • การใช้ประโยชน์จากส่วนประกอบของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
  • การแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม

ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) มิได้หมายถึงเพียงจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงความซับซ้อนใน 3 ระดับ:

  • ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Diversity): ความแปรผันภายในชนิดพันธุ์ที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้
  • ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ (Species Diversity): ความหลากหลายของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์
  • ความหลากหลายของระบบนิเวศ (Ecosystem Diversity): ความแตกต่างของถิ่นที่อยู่อาศัยที่เกื้อกูลกัน เช่น ป่าดิบชื้น พรุ ปะการัง และพื้นที่ชุ่มน้ำ

สถานการณ์ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย (2568)

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (Biodiversity Hotspot) อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดประจำปี 2568 จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และองค์กรพันธมิตร ได้ระบุถึงสถานการณ์ที่น่ากังวลและโอกาสที่สำคัญ ดังนี้:

สถิติและความมั่งคั่งทางทรัพยากร

  • ไทยมีชนิดพันธุ์พืชประมาณ 15,000 ชนิด (คิดเป็น 8% ของโลก) และมีสัตว์มีกระดูกสันหลังกว่า 5,000 ชนิด
  • ในปี 2568 มีการค้นพบ สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก (New Species) ในไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มแมงมุม ยีสต์ และพรรณไม้เฉพาะถิ่น สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเขตป่าลึก

ภัยคุกคามที่วิกฤติ

  • การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Invasive Alien Species): ปัญหา “ปลาหมอคางดำ” และพืชต่างถิ่นรุกราน เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศท้องถิ่นและเศรษฐกิจประมงอย่างรุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและการอพยพของสัตว์ป่า รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของพืชบนยอดเขาสูง
  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย: แม้พื้นที่ป่าอนุรักษ์จะทรงตัว แต่พื้นที่รอยต่อระหว่างป่า (Buffer Zone) ยังถูกคุกคามจากการขยายตัวของเมืองและเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว

เป้าหมายระดับชาติ “30×30”

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าตามแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (NBSAP 2023-2027) โดยตั้งเป้าหมาย “30×30” คือการเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางบกและทางทะเลให้ได้ร้อยละ 30 ของพื้นที่ประเทศภายในปี ค.ศ. 2030 รวมถึงการใช้กลไก “Biodiversity Credit” เพื่อดึงภาคธุรกิจเข้ามารับผิดชอบต่อระบบนิเวศมากขึ้น

แนวทางการดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

  • ภาคการเมืองและนโยบาย: การบังคับใช้กฎหมายที่ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพโดยตรง (Biodiversity Act) และการรวมบัญชีทุนธรรมชาติเข้ากับดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ
  • ภาคธุรกิจ: การดำเนินกิจการที่ยึดหลัก Nature Positive หรือการส่งคืนทรัพยากรให้กับธรรมชาติมากกว่าการนำออกไปใช้
  • ภาคประชาชน: การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศ และการร่วมเฝ้าระวังชนิดพันธุ์ต่างถิ่น

ความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่เพียงประเด็นทางสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” และ “ความมั่นคงทางอาหาร” ที่ไทยต้องเร่งรักษาไว้ก่อนจะสายเกินไป

Related posts

‘สวนโกโก้ลุงอ้วน’ พลิกไร่อ้อยสู่ป่าอินทรีย์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

26 ธันวาคม ‘วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ’ คืนรอยยิ้มสู่พงไพร

สนค.ดัน ‘ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ’ ตอบโจทย์เทรนด์โลก