เกษตรอินทรีย์ของแท้ ในความหมาย ‘ฟาร์มลุงรีย์’

การยึดแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ในการทำธุรกิจเกษตรอาจไม่ได้เงินมาก แถมมีต้นทุนที่สูง หลายคนจึงอาจลังเล เพราะต้องคำนึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวัตถุประสงค์หลัก โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรออร์แกนิกที่ผู้คนส่วนใหญ่อยากจะเห็นการขยายตัวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเอาเข้าจริงจะว่ายากก็ใช่ จะว่าง่ายก็มีตัวอย่างความสำเร็จให้เห็น

ชารีย์ บุญญวินิจ หรือ “ลุงรีย์” เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ว่า เขาผ่านร้อนผ่านหนาวในแวดวงเกษตรอินทรีย์มานานร่วม 12 ปี ทำให้กระจ่างชัดถึงความหมายและนิยามคำว่า “เกษตรอินทรีย์” ในแบบที่ควรจะเป็นและทำแล้วประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ

ทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์-ออร์แกนิก

“ออร์แกนิกก็ยิ่งใหญ่นะ คุมดิน คุมฝน คุมศัตรูพืช คุมอากาศ เอาเป็นว่าเรา (ฟาร์มลุงรีย์) ไม่ได้ใช้สารเคมีในการปลูกและไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงในการปลูก ผมก็นับว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดภัย ส่วนจะออร์แกนิกไม่ออร์แกนิก น้ำร่วมกับใคร อากาศร่วมกับใครเป็นประเด็นรอง ในเมื่อมนุษย์ไม่ได้วางยาซึ่งกันและกัน ผมก็ถือว่าเป็นความซื่อสัตย์อันดีที่ต้องเคารพต่อกัน”

ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในมุมของลุงรีย์มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการแบ่งชนชั้น แบ่งนิยาม แบ่งแคตากอรี่ในรูปแบบที่เหยียดกันและทะเลาะกันเอง ทั้งที่หากมีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาปัญหาจะไม่เกิด อย่างเช่น คนทำเกษตรเคมีก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องทำจำนวน อย่าไปหลอกลูกค้าด้วยคำว่า ผักอนามัย ผักปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี

ในขณะที่คนทำเกษตรออร์แกนิกก็บอกว่าทำเท่านี้ผลผลิตได้น้อย แต่ราคาสูงหน่อย คนที่ทำแบบไบโอไดนามิกก็บอกว่าผลผลิตไม่ใช่แค่ได้น้อย ผลผลิตมีแค่บางฤดูเท่านั้น ต้องทำอาชีพอื่นด้วย ตรงนี้เป็นอาชีพเสริม ผลผลิตได้ตามไหนก็ตามนั้น ตรงนี้เป็นส่วนเสริม ขายแค่คนรู้จัก โดยทั้งหมดนี้อยู่คนละเซกเมนต์ คนละตลาด

“เราอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เหยียดกัน แต่ต้องเข้าใจกัน คนหนึ่งมีสวนเคมี 100 ไร่ ทำออร์แกนิก 10 ไร่ ไบโอไดนามิกครึ่งไร่ ไว้บริโภค อันนี้คือความจริงใจต่อกัน ไม่ใช่เหยียดกันไปหมด ความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่มันอาจเหมาะสมต่างกัน ไม่มีใครทำถูกทำผิดหรอก มีแต่ทำแบบไหนก็สื่อสารไปแบบนั้น” ลุงรีย์ ให้นิยามคำว่า “เกษตรอินทรีย์” และ “เกษตรออร์แกนิก” ในความหมายของเขากับทีมงาน “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม”

จริงอยู่ หลายคนโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในธุรกิจเคมีอาจจะพยามให้ร้ายเกษตรออร์แกนิกหรือเกษตรอินทรีย์ว่าไม่มีของแท้อยู่จริง ซึ่งลุงรีย์ บอกว่าสำหรับฟาร์มเขาพูดได้เต็มปากว่า ปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี อยู่ในห้องที่ไม่สัมผัสบรรยากาศโดยรวม เป็นระบบปิด ทำแบบลูกทุ่งชี้วัดได้ สามารถพูดได้ว่ากึ่งออร์แกนิกที่ใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แต่ถ้าจะให้ออร์แกนิกที่ต้องมีใบอนุญาตขั้นตอนก็จะมีอีกมาก

เกษตรอินทรีย์&ออร์แกนิก

ก่อนจะพูดคำว่าออร์แกนิกหรือไม่ ต้องดูว่าออร์แกนิกใช่จุดขายที่แท้จริงไหม ถ้าทุกร้านออร์แกนิกเป็นออร์แกนิกกี่เปอร์เซนต์ และต้องบอกลูกค้าให้ชัดเจน อย่าเหมารวมทั้งหมด เช่น ออร์แกนิกบางฤดูกาล ไม่ใช่พูดคำว่าแอร์แกนิกจนเป็นปกติ ซึ่งเป็นการโกหก และลูกค้าที่เป็นตัวจริงเขาดูออก ดังนั้นต้องตั้งต้นด้วยความจริงใจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

คำแนะนำของลุงรีย์ก็คือ การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนอาจไม่ทำให้เพิ่มเงิน จึงต้องคิดทบทวนดูว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม โดยตัวที่จะบอกว่าคุ้ม ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องสามขา คือ ทำแล้วคุ้ม ทุกคนหายใจดีขึ้น ไม่ตาย ไม่เป็นโรค แข็งแรง ต่อให้ไม่ได้เงินก็ต้องทำ ทำแล้วพนักงานทุกคนแข็งแรงขึ้น ควันมลพิษน้อยลง

เกษตรอินทรีย์ทำยากแจ้งเกิดยาก

ลุงรีย์บอกว่า การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นเรื่องยากจนเกินไป ขึ้นอยู่กับว่าใครพร้อมจะเปลี่ยนมาทำหรือไม่ ไม่ใช่ว่ายกเหตุผลต่าง ๆ มาเป็นข้ออ้าง เช่น ทำแบบนี้มานานมากแล้วไม่อยากเปลี่ยน หรืออ้างระบบราชการไม่สนับสนุน เพราะมีโครงการที่ดีที่ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยอยู่มาก อยู่ที่ว่าทำตัวให้พร้อมเข้าถึงหรือไม่ หรือถ้าอ้างเศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจก็ไม่ดีมาตั้งนานแล้ว

“อย่าไปโทษกับดัก ไม่ว่ากับดักดอกเบี้ย กับดักเรื่องเงิน ติดกับดักตัวเองมากกว่า” ลุงรีย์ยอมรับว่า ตัวเขาเองก็เคยติดกับดักความเข้าใจเรื่องการเงินผิด ๆ เข้าใจการกู้ผิด ๆ เข้าใจธุรกรรมผิด ๆ หลังบ้านผิด ๆ บัญชีผิด ๆ มาก่อน และมาวันนี้คิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีขึ้นวันละ 1% ดีขึ้นทุกเดือน ๆ ละ 1% 12 เดือน 12% 2 ปี 24% 3 ปีเกือบ 50% ฉะนั้นแค่ดีขึ้นครั้งละ 1% แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ตั้งแต่แรกมันก็จบแล้ว

“ควรไปดูว่าคนที่รอด เขาขยันกว่าเรากี่สิบเท่า มั่นคงกว่าเรากี่สิบเท่า ไม่รวมคนรวย ไม่รวมคนต้นทุนดี เอาคนที่ทุนเท่า ๆ เรา เขาขยันกว่า เขาฉลาดกว่า เอาเคสที่มันใกล้ ๆ กัน แล้วดูทำไมเขาไม่ทำแบบเดิม ทำไมเขาลองแบบใหม่ ทำไมเขายอมขาดทุนบางอย่าง”

ไม่จำเป็นต้องปลูกทุกอย่างมาเป็นวัตถุดิบ

อาจมีคนเข้าใจว่าการทำเกษตรอินทรีย์ต้องปลูกเองทุกอย่าง ลุงรีย์บอกไม่จำเป็น เพราะสามารถเลือกวัตถุดิบที่ดีจากคนอื่นที่ทำดีได้ ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด เช่น ข้าวจากชาวนาที่ไว้ใจ ปลาจากชาวประมงที่ไว้ใจ “เราสร้างมหาสมุทรข้างบ้านได้ไหมครับ เราสร้างภูเขา เราสร้างนาข้างบ้านได้ไหม ในยุทธศาสตร์แบบนั้นไม่ถูกต้องแล้ว ไปเอาสิ่งที่ดีไม่ดีมาเรียง อย่างข้าวนั้นดี หรือปลานั้นสด

“แต่ข้าวออกเมื่อไหร่ ถ้าข้าวออกสิ้นปี ซีซั่นนี้เรื่องอาหาร ข้าวควรเป็นเรื่องเด่นหรือเปล่า หรือถ้าฤดูปลามัน ฤดูปลาทู ฤดูปลาอินทรีย์มรสุมเข้า ตรงนี้ก็ควรจะบริโภคให้แมทชิ่งกัน การบริโภคตามฤดูกาลทำให้เราไม่ลำบาก ช่วงนี้ชาวประมงเขาอยากขายอย่างนี้ ช่วงนี้ชาวนาเขาอยากขายอย่างนั้น เราต้องทราบปฏิทินการผลิตในประเทศ อันนี้จะเอื้อต่อการเกิด BCG หรือการบริโภคแบบยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้วในแง่การขาย เขาบอกว่า ข้าวไม่ได้เป็นได้แค่ข้าว ปลาไม่ได้เป็นได้แค่ปลา หมูไม่ได้เป็นได้แค่หมู ผักไม่ได้เป็นได้แค่ผัก แต่ต้องรู้ว่าของที่เอามาใช้ดียังไง ดีตอนไหน ขายตอนไหน ขายอย่างไร ทุกคนต้องรู้จักรูปแบบธุรกิจของตัวเอง ไม่ใช่ต้องปลูกทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกบ้านต้องมีโคกหนองนา หรือทุกคนต้องมีเครื่องสีข้าวเอง หมักคอมบูฉะเอง ต้องมองให้ขาดอันไหนเป็นทักษะ อันไหนเป็นรายได้ หรือเป็นฮอบบี้

ที่สำคัญมากก็คือ การทำเกษตรอินทรีย์ต้องยึดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานของฟาร์ม นั่นคือการไม่เพิ่มภาระหรือมลพิษให้แก่โลก ซึ่งลุงรีย์บอกว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ 100% ทำเท่าที่ทำได้ เท่าที่ทำไหว อันไหนยังไม่พร้อมก็บอกลูกค้าไปตรง ๆ อันไหนทำได้ก็สื่อสาร ที่ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ อยู่ที่ว่าคุ้มไหมที่ต้องทำ ขยันแค่ไหนก็ทำเท่านั้น แต่ต้องสื่อสาร

ทำธุรกิจรักษ์โลกอยู่ได้จริงหรือ

ร้าน OmakaHed ของลุงรีย์ไม่ได้ใหญ่โต แต่เขาพอใจกับมันมาก เนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรทุกอย่างคุ้มค่า ต้นทุนต่ำ กำไรสูง เป็นธุรกิจที่ดี เล็ก ฟิต ไม่ซับซ้อน ความเสี่ยงต่ำ ใครจะนำไปเป็นกรณีศึกษาต้องมาดูไส้ในว่าความตั้งใจยังไง ทำจริงยังไง ละเอียดยังไง แตกต่างยังไง และสื่อสารยังไง

ในความอยู่รอดของฟาร์มลุงรีย์ เขาบอกว่า ไม่ได้ทำแค่เกษตรหรือร้านอาหารอย่างเดียว แต่แบ่งเวลาไปรับงานอีเวนท์ด้วย…นี่คือที่มาความสำเร็จของเกษตรอินทรีย์ฉบับลุงรีย์

Related posts

ปล่อยวางความคิดไม่แฟร์ไม่ยุติธรรม

ปล่อยวางอาการป่วยด้วยใจที่สงบ

เปลี่ยน ‘ป้ายหาเสียง’ เป็นกระเป๋าสุดเก๋ ลดขยะ สร้างมูลค่าเพิ่ม