วิกฤต ‘เมฆขั้วโลก’ ลดพลังสะท้อนแสง เพิ่มความร้อนโลก 

งานวิจัยจากนาซ่าและมหาวิทยาลัยออสเตรเลีย ชี้ เมฆสะท้อนแสงบริเวณขั้วโลกหดตัวลง 1.5-3% ต่อทศวรรษในช่วง 24 ปี ส่งผลให้พลังงานดวงอาทิตย์ถูกกักเก็บมากขึ้น อุณหภูมิโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

งานวิจัยจากนาซาและมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียเผยว่า พื้นที่เมฆสะท้อนแสงบริเวณขั้วโลกหดตัวลง 1.5-3% ต่อทศวรรษในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พลังงานจากดวงอาทิตย์ถูกกักเก็บในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ซ้ำเติมภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 และ 2024

นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมสองประเภท พบว่า เมฆหนาที่ยังสะท้อนแสงได้ดี ซึ่งมักพบในละติจูดสูงใกล้ขั้วโลก ลดลงเนื่องจากระบบลมหลักเคลื่อนตัวไปทางขั้วโลก ศาสตราจารย์คริสเตียน จาคอบ จากมหาวิทยาลัยโมนาชระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับแบบจำลองที่คาดการณ์ผลกระทบจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล

“นี่เป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจภาวะโลกร้อนที่รุนแรงที่เราพบเมื่อเร็วๆ นี้ และเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน” จาคอบกล่าว

บทบาทสำคัญของเมฆ

เมฆมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนพลังงานดวงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ ช่วยลดความร้อนของโลก การลดลงของเมฆจึงทำให้โลกร้อนขึ้น ศาสตราจารย์แมตต์ อิงแลนด์ จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งไม่ได้ร่วมวิจัย เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงของเมฆส่งผลอย่างมากต่อสมดุลพลังงานของโลก และงานวิจัยนี้ช่วยอธิบายอุณหภูมิที่สูงผิดปกติในช่วงสองปีที่ผ่านมาอย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงค้นหาสาเหตุอื่นๆ ของอุณหภูมิที่พุ่งสูง เช่น การลดลงของมลพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากการเดินเรือ ซึ่งช่วยสะท้อนแสงแดด หรือการเพิ่มขึ้นของไอน้ำจากภูเขาไฟใต้น้ำตองกาในปี 2022 ดร. มาร์ติน ยุคเกอร์ จาก UNSW ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของเมฆเป็น “ปฏิกิริยาตอบสนอง” ต่อก๊าซเรือนกระจก แต่ยังไม่สามารถอธิบายการพุ่งสูงของอุณหภูมิในปี 2023 ได้ทั้งหมด

ความท้าทายด้านข้อมูลและงบประมาณ

จาคอบเตือนว่า อุปกรณ์ดาวเทียมของนาซาและ NOAA ที่ใช้เก็บข้อมูลกำลังจะหมดอายุการใช้งาน และเผชิญการตัดงบประมาณจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจกระทบการวิจัยสภาพภูมิอากาศในอนาคต เขาเรียกร้องให้ประชาคมโลกพัฒนาระบบสังเกตการณ์โลกที่แข็งแกร่ง เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น

“สภาพภูมิอากาศไม่สนใจความต้องการของมนุษย์ แต่มันตอบสนองต่อการกระทำของเรา การตัดทอนวิทยาศาสตร์ที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย” จาคอบย้ำงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters และเป็นเบาะแสสำคัญในการทำความเข้าใจวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังดำเนินอยู่

อ้างอิง :

Related posts

ใบตองแทนฟอยล์ นวัตกรรมรักษ์โลกจากร้านเสริมสวย

‘โลกร้อน’ ทำ ‘วัว’ เครียด ผลผลิตน้ำนม ลดลง 10% ต่อวัน

‘ขยะแฟชั่น’ ท่วมทะเลทรายในชิลี จากวิกฤต ‘ขยะสิ่งทอ’