‘เมืองฟองน้ำ’ ทางออกรับมือ Climate change ในประเทศไทย

รู้จัก “เมืองฟองน้ำ” Sponge City  ที่กำลังกลายเป็นคำตอบของประเทศไทย ในการรับมือกับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งน้ำท่วม ร้อนจัด และภัยแล้ง ด้วยแนวคิดที่ผสานธรรมชาติ ภูมิปัญญา และเทคโนโลยี

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง (Climate change) อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนจัด น้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยแล้งยาวนาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ มีอุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 5.26 องศาเซลเซียสในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าภายในปี 2100 จะมีวันที่ร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียสเพิ่มขึ้นถึง 153 วันต่อปี ขณะที่น้ำท่วมเป็นอีกปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมถึง 737 จุด และอาจมีพื้นที่ถึง 40% เสี่ยงจมน้ำภายในปี 2030 ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทั้งในระดับเมืองและครัวเรือน

แนวคิดเมืองฟองน้ำ: โซลูชันที่ยั่งยืนสำหรับเมือง

แนวคิด เมืองฟองน้ำ (Sponge City) เป็นกลยุทธ์การวางผังเมืองที่ช่วยให้เมืองสามารถดูดซับ จัดเก็บ และจัดการน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะปล่อยให้น้ำไหลบ่าทำให้เกิดน้ำท่วม แนวคิดนี้เริ่มต้นจากประเทศจีนในปี 2013 และถูกนำไปปรับใช้ในหลายเมืองทั่วโลก โดยมุ่งเน้นให้เมืองทำหน้าที่เหมือน “ฟองน้ำ” ที่สามารถซับน้ำฝน กรองน้ำเสีย และนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความร้อนในเมือง (Urban Heat Island Effect) และเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งส่งเสริมทั้งความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย

หลักการสำคัญของเมืองฟองน้ำ ประกอบด้วย

  • การดูดซับน้ำฝน: ใช้พื้นผิวที่ซึมน้ำได้ เช่น ถนนที่ทำจากวัสดุ permeable pavement หรือสวนฝน (rain gardens) เพื่อให้พื้นผิวเมืองสามารถดูดซับน้ำฝนได้มากขึ้น
  • การกักเก็บน้ำ: สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ เช่น บ่อพักน้ำ สวนชุ่มน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก เพื่อลดการไหลบ่าของน้ำ
  • การกรองและบำบัดน้ำ: ใช้ระบบนิเวศ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำเทียมหรือสวนพืชกรองน้ำ เพื่อบำบัดน้ำฝนก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
  • การนำน้ำกลับมาใช้: นำน้ำฝนที่กักเก็บไว้ไปใช้ในการเกษตร ชลประทาน หรือแม้แต่ในครัวเรือน

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย

  • สวนป่าเบญจกิติ กรุงเทพฯ: ออกแบบให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำฝนได้ถึง 87,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมระบบบำบัดน้ำเสียจากชุมชนโดยรอบ ช่วยลดน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง
  • อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: ออกแบบให้มีลักษณะลาดเอียงเพื่อนำน้ำฝนไหลลงสู่บ่อกักเก็บ สามารถรวบรวมและบำบัดน้ำได้ประมาณ 3,785 ลูกบาศก์เมตร
  • สวนลุมพินี กรุงเทพฯ: มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับน้ำและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดน้ำท่วมในพื้นที่โดยรอบ
  • เมืองนำร่องอื่นๆ: โครงการ Urban-Act ในจังหวัดขอนแก่นและภูเก็ต ได้ทดลองใช้แนวคิดเมืองฟองน้ำผ่านการสร้างพื้นที่สีเขียวและระบบจัดการน้ำฝน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ห้องปฏิบัติการเรียนรู้” เพื่อพัฒนาเมืองที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ

ประโยชน์ของเมืองฟองน้ำ

  • ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้งโดยการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดอุณหภูมิในเมืองด้วยพื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำ
  • ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพโดยการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์และพืช
  • ปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการกรองมลพิษจากน้ำฝน
  • สร้างพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับชุมชน

การออกแบบบ้านให้ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ

นอกจากการปรับตัวในระดับเมือง การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นและเสี่ยงน้ำท่วม

แนวทางการออกแบบเพื่อลดความร้อน

ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา

  • ทิศตะวันตก: เลือกไม้ยืนต้นทรงพุ่มกว้างและใบหนา เช่น อโศกอินเดีย กัลปพฤกษ์ หรือประดู่แดง เพื่อบังแดดยามบ่าย
  • ทิศตะวันออก: ใช้ไม้ยืนต้นที่มีพุ่มโปร่ง เช่น ปีบ เลี่ยน หรือไม้พุ่มขนาดเล็ก เช่น บีโกเนีย เฟิน
  • ทิศใต้: ใช้ไม้ยืนต้นที่ทนแดดและให้ร่มเงา เช่น จำปี จำปา หรือประยงค์ ซึ่งมีดอกหอมและช่วยให้ลมพัดผ่านเข้าบ้านได้
  • เพิ่มการระบายอากาศ: ออกแบบบ้านให้มีหน้าต่างและประตูจำนวนมากเพื่อให้ลมพัดผ่านได้ดี
  • เลือกวัสดุที่ช่วยลดความร้อน: ใช้กระเบื้องดินเผาสำหรับมุงหลังคา หรือผนังที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน
  • หลังคาและผนังสีเขียว: ปลูกต้นไม้บนหลังคาหรือผนังเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน

แนวทางการออกแบบเพื่อรับมือน้ำท่วม

  • บ้านใต้ถุนสูง: ยกตัวบ้านให้สูงจากพื้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม
  • บ้านลอยน้ำ/สะเทินน้ำสะเทินบก: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมบ่อย โดยบ้านสามารถลอยหรือปรับตัวตามระดับน้ำ
  • การออกแบบทนน้ำท่วม (Flood-Resilient Design)
  • ยกระดับที่ดินหรือสร้างกำแพงกั้นน้ำรอบบ้าน
  • ใช้ฐานรากที่ทนน้ำ เช่น คอนกรีตที่ไม่ซึมน้ำ หรือติดตั้งช่องระบายน้ำ (Flood vents) เพื่อลดแรงดันจากน้ำ
  • เลือกวัสดุที่ทนต่อน้ำ เช่น กระเบื้องเซรามิก หรือผนังที่เคลือบสารกันน้ำ

ความท้าทายและโอกาสในประเทศไทย

ประเทศไทยได้เริ่มนำแนวคิดเมืองฟองน้ำและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมาใช้ในหลายพื้นที่ แต่ยังมีอุปสรรคที่ต้องแก้ไข ทั้งด้านเงินทุน การลงทุนเริ่มต้นสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเมืองฟองน้ำ เช่น ระบบระบายน้ำหรือพื้นที่สีเขียว มีต้นทุนสูง แม้ว่าจะคุ้มค่าในระยะยาว ด้านนโยบายและกฎหมาย มาตรฐานอาคารสีเขียว เช่น TREES ยังไม่เป็นข้อบังคับในภาคเอกชน และบางนโยบาย เช่น การเก็บภาษีพื้นที่กักเก็บน้ำ อาจขัดแย้งกับเป้าหมายการปรับตัว และการมีส่วนร่วมของชุมชน ความสำเร็จของเมืองฟองน้ำขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและความเข้าใจในบริบทท้องถิ่น

ทางออกและอนาคตการสร้างเมืองและที่อยู่อาศัยที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศต้องอาศัยการบูรณาการระหว่าง ธรรมชาติบำบัด (เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำ) ภูมิปัญญาดั้งเดิม (เช่น บ้านใต้ถุนสูง) และ เทคโนโลยีสมัยใหม่ (เช่น วัสดุก่อสร้างที่ทนน้ำ) การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเมืองและบ้านที่พร้อมรับมือกับความท้าทายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

เมืองฟองน้ำในต่างประเทศ

  • เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน: มีการพัฒนาสวนสาธารณะและถนนที่ซึมน้ำได้ เพื่อลดน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
  • เมืองรอตเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์: ใช้ “จัตุรัสน้ำ” (Water Squares) ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพื้นที่สาธารณะและแหล่งกักเก็บน้ำฝนในช่วงฝนตกหนัก

ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างเหล่านี้และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และพัฒนานโยบายที่สนับสนุนความยั่งยืน จะช่วยให้เมืองและบ้านของเรากลายเป็น “ฟองน้ำ” ที่พร้อมดูดซับและรับมือกับความท้าทายจากสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง :

Related posts

ระดับโลก ‘ดุสิตธานี’ คว้า มิชลิน คีย์ สองสาขา ‘เกียวโต-กทม.’

วิจัยพบ ‘โรงบำบัดน้ำเสีย’ ตัวการลับ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่าที่คิด

เปิดนโยบายพลังงาน ‘Quick Big Win’ ลดปล่อยคาร์บอน 10 ล้านตัน/ปี