กพช. เคาะ 5 มาตรการใหญ่ ปรับโครงสร้างก๊าซ-ดันโซลาร์ชุมชน

กพช. ไฟเขียว 5 มาตรการใหญ่ หนุนความมั่นคงพลังงานประเทศ เดินหน้าปรับโครงสร้างก๊าซใหม่ อนุมัติลงทุนติดตั้ง Topside ท่าเทียบเรือ LNG มาบตาพุด ลุยโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 MW พร้อมส่วนลดค่าไฟครัวเรือนคุมเข้มโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPS) ดัน Data Center ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไทยสู่ยุคดิจิทัล

(28 พฤศจิกายน 2568) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 4/2568 (ครั้งที่ 174) โดยได้เปิดเผยผลการพิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงานและมีมติเห็นชอบมาตรการหลัก 5 ด้าน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และวางรากฐานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

1.ปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ สร้างความเป็นธรรมทุกภาคส่วน

ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ โดยมีเป้าหมายให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติทุกภาคส่วน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป สรุปสาระสำคัญดังนี้:

  • ราคาก๊าซเข้าโรงแยกและ LPG: ก๊าซธรรมชาติที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซ รวมถึงก๊าซที่ใช้ผลิตก๊าซหุงต้ม (LPG) จะใช้ต้นทุนเท่ากับ ราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย
  • ราคาก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้า/ขนส่ง/อุตสาหกรรม: จะใช้ ราคา Pool Price ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของก๊าซจาก 3 แหล่ง ได้แก่ อ่าวไทย เมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้า
  • ส่วนต่างราคาโรงแยกก๊าซ: ราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่เข้าโรงแยกก๊าซจะมีราคาสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่นำมาคำนวณใน Pool Price ร้อยละ 10 โดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับภาระส่วนต่างราคาดังกล่าว
  • การทบทวน: เปิดโอกาสให้สามารถทบทวนโครงสร้างราคาได้ หากสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ

2.อนุมัติลงทุน Topside ท่าเทียบเรือ LNG มาบตาพุด เสริมความมั่นคง

กพช. เห็นชอบให้บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด (บริษัทร่วมทุนระหว่าง กฟผ. และ PTT LNG) ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ Topside หรืออุปกรณ์สูบถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากเรือขนส่ง LNG เข้าสู่สถานี LNG ณ ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จังหวัดระยอง

  • วงเงินลงทุน: 3,385 ล้านบาท
  • กำหนดแล้วเสร็จ: ภายในปี 2571
  • เหตุผล: เนื่องจากปริมาณเรือ LNG ที่เข้ามาเทียบท่าที่ 1 สูงกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องมีการซ่อมบำรุงใหญ่เร็วกว่ากำหนด การติดตั้งอุปกรณ์ที่ท่าเทียบเรือที่ 2 จึงเป็นการรองรับการให้บริการในช่วงซ่อมบำรุงท่าเทียบเรือที่ 1 และช่วยรักษาความต่อเนื่องของการรับเรือและจ่ายก๊าซฯ เสริมความมั่นคงของระบบพลังงานในระยะยาว

พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาการส่งผ่านภาระการลงทุนไปยังผู้ใช้พลังงานเฉพาะเท่าที่จำเป็น

3.เดินหน้าโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 MW พร้อมส่วนลดค่าไฟครัวเรือน

ที่ประชุม กพช. ได้อนุมัติกรอบหลักการโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน (Community-based Solar Power Generation Project) รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดยมีรายละเอียดและหลักการสำคัญเพื่อกระจายประโยชน์สู่ชุมชน:

  • รูปแบบโครงการ: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่งอัตรารับซื้อไฟฟ้า (FiT): การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วยระยะเวลาสัญญา: สัญญาซื้อขายไฟฟ้ามีระยะเวลา 25 ปี ในรูปแบบ Non-Firm
  • ส่วนลดค่าไฟฟ้า: กฟภ. จะเป็นผู้นำส่งและจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (ประเภท 1) ในพื้นที่ชุมชนที่โครงการตั้งอยู่ โดยจะให้ ส่วนลดไฟฟ้า แก่ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งคำนึงถึงการกระจายประโยชน์ให้กับ ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง (มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 200 หน่วยต่อเดือน) เป็นสำคัญ
  • หลักเกณฑ์คัดเลือก: ใช้หลักการ First Come First Served (FCFS) โดยผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายมีสิทธิได้รับการคัดเลือกสูงสุดไม่เกิน 30 เมกะวัตต์
  • การกำกับดูแล: เอกชนที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการจะต้องเข้าร่วมทุนกับบริษัทในเครือของ กฟภ. ก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โดยบริษัทในเครือของ กฟภ. จะถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนด้วยสัดส่วน ร้อยละ 10 ตลอดอายุสัญญา

4.กำกับดูแลโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPS) 3 กลุ่มหลัก

กพช. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการสำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าระหว่างเอกชนกับเอกชน (IPS) เพื่อตอบรับการเติบโตของกลุ่มนี้ โดยแบ่งการพิจารณาอนุญาตออกเป็น 3 กลุ่ม:

  1. กลุ่มที่สามารถพิจารณาอนุญาตได้ต่อเนื่องครอบคลุม

1.1 กลุ่มที่สามารถพิจารณาอนุญาตได้อย่างต่อเนื่องทันที ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าใช้เอง (Self-Consumption) ทุกเชื้อเพลิงที่ประกอบกิจการในพื้นที่ผู้ใช้ไฟฟ้า (On-site)

1.2 โครงการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชน (Private PPA) เฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop)

  1. กลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาต ครอบคลุม

2.1 โครงการ Self-Consumption ทุกเชื้อเพลิงนอกพื้นที่ผู้ใช้ไฟฟ้า (Off-site)

2.2 โครงการ Private PPA ทุกเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ Solar Rooftop (ทั้ง On-site และ Off-site)

2.3 ผู้รับใบอนุญาตรายเดิมที่ยื่นขอต่ออายุ/ เปลี่ยนแปลง (ลด/เท่าเดิม) / โอน-ควบรวมกิจการในภายหลัง

โดยในกลุ่ม 2 นี้ จะพิจารณาอนุญาตเฉพาะกรณีที่ สำนักงาน กกพ. ได้รับคำขออนุญาตตาม พรบ. กกพ. พ.ศ. 2550 มาตรา 47 และ 48 แล้ว หรือเป็นโครงการได้รับอนุมัติ/อนุญาต/สิทธิจากรัฐ (เช่น CoP ขั้นต้น, BOI, อ.1, ร.ง.4) ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568

  1. กลุ่มชะลอการรับคำขออนุญาตชั่วคราว ครอบคลุมโครงการที่มีลักษณะเดียวกับกลุ่มที่ 2.1 และ 2.2 แต่เป็นโครงการที่สำนักงาน กกพ. ยังไม่ได้รับคำขออนุญาต และโครงการ ยังไม่ได้รับอนุมัติ/อนุญาต/สิทธิจากรัฐ ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568 จะถูกชะลอการรับคำขอไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีหลักเกณฑ์หรือนโยบายใหม่ที่ชัดเจน

ทั้งนี้ กพช. มอบหมายให้ สพพ., กกพ., กฟผ., และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ร่วมกันเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการกำกับดูแลกลุ่ม IPS ต่อไป

5.หนุน Data Center ลูกค้าตรง กฟผ. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน

ที่ประชุม กพช. ยังได้อนุมัติหลักการแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2512 โดยเพิ่มกลุ่มผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าประเภท Data Center ที่มีขนาดตั้งแต่ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไป ให้สามารถเป็น ลูกค้าตรง (Direct Customer) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้

มติดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศ โดย กฟผ. จะสามารถจ่ายไฟฟ้าจากระบบส่งที่มีความมั่นคงสูงให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุไฟฟ้าดับ ลดการลงทุนซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ได้รับทราบกรณีข้อพิพาทจากการดำเนินการตามนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และมีมติเห็นว่าการพิจารณาขยายกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เกิดจากเหตุสุดวิสัย เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งผลการพิจารณาของ กกพ. ถือเป็นที่สุด โดยไม่ต้องนำเสนอ กพช. พิจารณา

พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อพิพาททางปกครองจากการดำเนินการตามนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นอำนาจหน้าที่ของ กพช. ในการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองหรือคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อไป

Related posts

ถอดบทเรียนน้ำท่วมหาดใหญ่ ‘เตือนภัยไม่ชัด-ผังเมืองพัง’ อีก 5 ปี จมมิด

เสียงเตือนจากปลายน้ำ ค้าน ‘ระเบิดถนน’ แก้วิกฤต ‘น้ำท่วมหาดใหญ่’

วิกฤต ‘น้ำท่วมหาดใหญ่’ คาด จมยาวถึงกลาง ธ.ค. 68