‘เขื่อนน้ำอูน’ วิกฤต ‘จอกหูหนูยักษ์’ คุกคามระบบนิเวศ

“จอกหูหนูยักษ์” ระบาดหนักที่เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร แพร่กระจายรวดเร็ว สร้างปัญหาชาวประมงและระบบนิเวศ แม้มีการรณรงค์แปรรูปเป็นปุ๋ย แต่สถานการณ์ยังน่ากังวล ชาวบ้านเรียกร้องหน่วยงานเร่งแก้ไข ก่อนวิกฤตบานปลาย

ที่บริเวณสันเขื่อนน้ำอูน ตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร พบการระบาดของจอกหูหนูยักษ์ (Salvinia molesta) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ผิวน้ำเป็นวงกว้างอย่างเห็นได้ชัดจากภาพมุมสูง โดยจอกหูหนูยักษ์ถูกพบครั้งแรกในพื้นที่นี้เมื่อปี 2566 และตั้งแต่นั้นมาก็แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามกำจัดและรณรงค์ให้ชาวบ้านนำจอกหูหนูยักษ์ไปแปรรูปเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรหรือด้านอื่นๆ แต่การแพร่กระจายยังคงควบคุมได้ยากปัจจุบัน

จอกหูหนูยักษ์ยังคงพบเห็นได้ทั่วบริเวณเขื่อนน้ำอูน โดยในช่วงฤดูฝน พืชชนิดนี้จะถูกกระแสน้ำและลมพัดพามารวมตัวบริเวณหน้าเขื่อน ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะถูกพัดไปท้ายเขื่อน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและทิศทางลม อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูแล้งเมื่อระดับน้ำลดลง จอกหูหนูยักษ์จะก่อตัวเป็นชั้นวัชพืชหนาที่ยากต่อการกำจัด สร้างปัญหาให้ชาวประมงในพื้นที่ที่ต้องเผชิญความยากลำบากในการเดินเรือ และหาปลา

จากการเปรียบเทียบภาพถ่ายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 กับวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 พบว่าปริมาณและขนาดของจอกหูหนูยักษ์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนถึงความรุนแรงของการระบาด ชาวบ้านในพื้นที่จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง เนื่องจากหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศของเขื่อนน้ำอูนในอนาคต รวมถึงกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

จอกหูหนูยักษ์: ภัยเงียบที่ทำลายระบบนิเวศ

“จอกหูหนูยักษ์” ระบาดหนักที่เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร

จอกหูหนูยักษ์ (Salvinia molesta) เป็นพืชน้ำต่างถิ่นที่ได้รับฉายาว่า “ปีศาจสีเขียว” เนื่องจากความสามารถในการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศน้ำ ด้วยถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล พืชชนิดนี้ถูกนำเข้ามาในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อใช้เป็นไม้ประดับในตู้ปลา แต่กลับกลายเป็นวัชพืชรุกรานที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อแหล่งน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ

ลักษณะและการแพร่กระจายของจอกหูหนูยักษ์

จอกหูหนูยักษ์เป็นเฟิร์นน้ำที่ลอยตัวอิสระบนผิวน้ำ โดยไม่ยึดเกาะกับพื้นดิน ลำต้นเปราะบาง หักง่าย แต่ส่วนที่หักออกสามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ใบของมันมีลักษณะกลมหรือรีเมื่อยังเล็ก และเมื่อโตเต็มที่จะยกตัวขึ้น ผิวใบปกคลุมด้วยขนแข็งสีขาวที่ป้องกันน้ำซึมเข้า ทำให้ใบไม่จมน้ำและมีลักษณะสีขาวนวล ส่วนใบที่จมน้ำจะเปลี่ยนรูปเป็นเส้นยาวคล้ายราก ช่วยพยุงให้พืชลอยน้ำได้

จุดเด่นที่ทำให้จอกหูหนูยักษ์น่ากลัวคือ อัตราการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วอย่างน่าทึ่ง ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จอกหูหนูยักษ์หนึ่งต้นสามารถเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าทุก 2-4 วัน และครอบคลุมพื้นที่ถึง 64,750 ไร่ภายในเวลาเพียง 3 เดือน น้ำหนักชีวมวลสดอาจสูงถึง 64 ตันต่อไร่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการระบาดในแม่น้ำเซปิค ประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งในปี 1972 มีการนำจอกหูหนูยักษ์เพียง 2-3 ต้นเข้าไป ภายใน 8 ปี พืชนี้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 250 ตารางกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชากร 80,000 คนที่พึ่งพาแหล่งน้ำ

“จอกหูหนูยักษ์” ระบาดหนักที่เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร

ผลกระทบต่อระบบนิเวศ

  • บดบังแสงแดดและลดออกซิเจนในน้ำ

เมื่อจอกหูหนูยักษ์แพร่กระจาย มันจะปกคลุมผิวน้ำเป็นแพหนาที่ยึดครองพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทำให้แสงแดดไม่สามารถส่องถึงพืชน้ำด้านล่างได้ พืชน้ำพื้นเมืองที่ต้องพึ่งพาการสังเคราะห์แสงจึงขาดแสงและตายในที่สุด ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การย่อยสลายซากพืชที่ตายและจมลงสู่ก้นน้ำยังต้องใช้ออกซิเจนในปริมาณมาก ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน สัตว์น้ำ เช่น ปลา และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจตายจากภาวะนี้

  • ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

การแพร่กระจายของจอกหูหนูยักษ์ทำให้พืชน้ำพื้นเมืองถูกแทนที่ และสัตว์น้ำที่พึ่งพาพืชเหล่านั้นสูญเสียแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัย ความหนาแน่นของจอกหูหนูยักษ์อาจสูงถึง 1 เมตรจากผิวน้ำ ส่งผลให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ นอกจากนี้ จอกหูหนูยักษ์ยังรุนแรงถึงขั้นทำให้ผักตบชวา ซึ่งเป็นวัชพืชที่มีผลกระทบรุนแรงเช่นกัน มีใบซีดและตายได้

  • กีดขวางการไหลของน้ำและการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ

การปกคลุมผิวน้ำอย่างหนาแน่นของจอกหูหนูยักษ์ขัดขวางการไหลของน้ำและการสัญจรทางน้ำ ทำให้แหล่งน้ำไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น การประมง การเกษตร หรือการท่องเที่ยว ตัวอย่างเช่น ที่ทะเลบัวแดงในอ่างเก็บน้ำหนองหาน จังหวัดอุดรธานี จอกหูหนูยักษ์ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและการจับปลาของชาวบ้าน

  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

การกำจัดจอกหูหนูยักษ์ต้องใช้แรงงานและงบประมาณจำนวนมาก ในบางพื้นที่ เช่น มลรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา มีค่าใช้จ่ายในการควบคุมถึง 249 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐ การระบาดในแหล่งน้ำยังทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินและเน่าเสีย ส่งผลให้มนุษย์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำได้

“จอกหูหนูยักษ์” ระบาดหนักที่เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร

วิธีการกำจัดจอกหูหนูยักษ์

  • การกำจัดด้วยวิธีกล

นำจอกหูหนูยักษ์ออกจากแหล่งน้ำ ตากให้แห้งในที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง แล้วเผาหรือฝังในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายต่อ ต้องมีการตรวจสอบและเก็บซ้ำทุกเดือนอย่างน้อย 6 เดือน หรือจนกว่าจะไม่พบพืชนี้ติดต่อกัน 3 ครั้ง เนื่องจากจอกหูหนูยักษ์ขนาดเล็กอาจมองเห็นได้ยากในระยะแรกหลังการกำจัด

  • การใช้สารเคมี

การฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช เช่น พาราควอต ในอัตรา 100-200 กรัมต่อไร่ ผสมสารจับใบ สามารถควบคุมการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสารนี้จะสูญเสียฤทธิ์เมื่อสัมผัสดินหรือน้ำขุ่น จึงไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำหากใช้อย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีต้องระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

  • การจัดการแบบยั่งยืน

ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดอุดรธานี มีการส่งเสริมให้ชุมชนแปรรูปจอกหูหนูยักษ์เป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ในการเกษตรปลอดสารพิษ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณวัชพืชและสร้างประโยชน์ให้ชุมชนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนย้ายจอกหูหนูยักษ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายพืชกักกันเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย

สถานการณ์ในประเทศไทยในประเทศไทย จอกหูหนูยักษ์ถูกจัดเป็น “สิ่งต้องห้าม” ตามพระราชบัญญัติกักพืชตั้งแต่ปี 2521 ห้ามนำเข้าและครอบครอง เนื่องจากเป็นวัชพืชที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม การระบาดยังคงเกิดขึ้น โดยพบครั้งแรกในปี 2544 จากการนำเข้ามาขายเป็นไม้ประดับที่ตลาดนัดจตุจักร และต่อมาในปี 2560 พบการระบาดในจังหวัดอุดรธานี โดยเฉพาะที่อ่างเก็บน้ำหนองหาน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างทะเลบัวแดง ล่าสุดในปี 2568 มีรายงานการระบาดหนักในเขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร ซึ่งบดบังทัศนียภาพและกระทบต่อระบบนิเวศ

Related posts

‘โลกร้อน’ ทำ ‘วัว’ เครียด ผลผลิตน้ำนม ลดลง 10% ต่อวัน

‘ขยะแฟชั่น’ ท่วมทะเลทรายในชิลี จากวิกฤต ‘ขยะสิ่งทอ’

‘อ่าวมาหยา’ คืนชีพ พบฝูง ‘ฉลามครีบดำ’ 158 ตัว