MOU ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ไทย-สหรัฐฯ โอกาสเศรษฐกิจ หรือ กับดักสิ่งแวดล้อม?

MOU “แร่แรร์เอิร์ธ” ไทย-สหรัฐ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เตือน “น้ำพิษ-ดินถล่ม-มะเร็ง” อาจตามมา หากไม่เรียนรู้จาก 2,700 เหมืองเถื่อนเมียนมา

ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียนกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ และส่งเสริมการลงทุน กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา บันทึกข้อตกลงนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแร่ธาตุหายาก หรือแรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ชิปคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

รัฐบาลไทยยืนยันว่า MOU นี้เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่ผูกมัดทางกฎหมาย เน้นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การถ่ายทอดความรู้ และการพัฒนาขีดความสามารถของไทย ในการแยกแปรรูปและรีไซเคิลแร่ โดยหวังจะดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน และลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดแรร์เอิร์ธกว่า 80% ของโลก

การลงนามครั้งนี้ จุดประกายความกังวลทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้านในไทย ที่วิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่ได้ปรึกษาสาธารณะก่อน และอาจเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติของไทย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว คำถามสำคัญที่ผุดขึ้นคือ การขุดแร่แรร์เอิร์ธที่ไทยอาจเริ่มต้นจาก MOU นี้ จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจริงหรือ หรือจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น?

อันตรายร้ายแรงจากกระบวนการขุดแร่แรร์เอิร์ธ: ของเสียกัมมันตภาพรังสีและการปนเปื้อนน้ำ

ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งเคยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอันตรายของการขุดแร่แรร์เอิร์ธ โดยเฉพาะจากบทเรียนในภูมิภาคเอเชีย ชี้ให้เห็นว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ธ อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดการควบคุมและกำกับดูแลทางกฎหมาย ปัญหาหลักคือ แร่แรร์เอิร์ธที่นำมาสกัด มักปนเปื้อนด้วยธาตุทอเรียม (Thorium) และยูเรเนียม (Uranium) ซึ่งเป็นสารที่มีกัมมันตภาพรังสีสูง การแยกแร่เหล่านี้ออกจากกันจึงต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและต้องจัดการของเสียอย่างระมัดระวัง หากเกิดข้อผิดพลาด ของเสียกัมมันตภาพรังสีเหล่านี้ จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่คุกคามระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์

“ของเสียจากกระบวนการชะล้างแร่ (Leaching) มักไหลลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินและลำธาร สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียงที่พึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านั้น” ดร.สนธิ กล่าว โดยยกตัวอย่างจากพื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของจีน และตอนเหนือของเมียนมา ซึ่งถูกนำมาประโยชน์อย่างหนักเพื่อขุดแร่แรร์เอิร์ธ ชุมชนในพื้นที่เหล่านี้เผชิญกับปัญหาน้ำดื่มที่ปนเปื้อน ส่งผลให้เกิดโรคผิวหนัง มะเร็ง และความผิดปกติทางพันธุกรร นอกจากนี้ สัตว์ป่าและพันธุ์ปลาท้องถิ่นกำลังสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย

บทเรียนเลือดจากเมียนมาและจีน: การขุดผิดกฎหมายที่ไม่อาจย้อนคืน

รายงานจากองค์กร Global Witness ซึ่งศึกษาผลกระทบของการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ปัญหาในเมียนมารุนแรงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากจีนเริ่มปิดเหมืองในประเทศตัวเอง และหันไปลงทุนในเมียนมาแทน กลางปี 2565 หน่วยงานตรวจสอบพบแหล่งทำเหมืองผิดกฎหมายจากการชะล้างแร่บนภูเขาถึง 2,700 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดเท่าประเทศสิงคโปร์ ชาวบ้านในพื้นที่เข้าถึงน้ำดื่มสะอาดได้ยาก ขณะที่ระบบนิเวศบนภูเขาถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง

กระบวนการชะล้างแร่ยังก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มเติม Global Witness รายงานว่า มีดินถล่มเกิดขึ้นกว่า 100 ครั้งในเขตกันโจวของจีน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการสกัดแร่ที่ทำให้โครงสร้างหินอ่อนแอลง ภูเขาในเมียนมาก็เผชิญชะตากรรมคล้ายกัน โดยการกัดเซาะดินและการพังทลายของเนินเขาส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและสูญเสียที่ดินทำกินของเกษตรกรท้องถิ่น ดร.สนธิ เตือนว่า “หากไทยไม่เรียนรู้จากบทเรียนเหล่านี้ การขุดแรร์เอิร์ธในประเทศเราอาจนำไปสู่หายนะสิ่งแวดล้อมที่แก้ไขไม่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาหรือป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์”

Related posts

กพช. ดัน ‘โซลาร์ฟาร์มชุมชน-ระบบส่งไฟฟ้า EEC’ หนุนพลังงานสะอาด

ไทย-สหรัฐฯ ลงนาม MOU ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ครั้งแรก ยกระดับห่วงโซ่อุปทาน

‘ป่ารักน้ำ’ พระราชปณิธานปกป้องต้นน้ำแห่งชีวิต