วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ เพิ่งเริ่มต้น ดร.สนธิ คชวัฒน์ ชี้ รัฐบาลต้องเร่งจัดการศพและโรคระบาดหลังน้ำลด ขณะเดียวกันต้องเร่งถอดบทเรียนความล้มเหลวในการสั่งการ-ผังเมือง มิฉะนั้นภัยพิบัติจะกลับมาหนักกว่าเดิมภายใน 5 ปี
ท่ามกลางกระแสน้ำในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังส่งสัญญาณลดระดับลง หลายคนอาจมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่สำหรับ ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ สถานการณ์นี้กลับเป็นจุดเริ่มต้นของ “ฝันร้ายที่แท้จริง” เมื่อสิ่งที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาไม่ได้มีเพียงแค่บ้านเรือน แต่คือซากความสูญเสียและเชื้อโรคร้ายที่รอวันปะทุ
วิกฤตหลังน้ำลด: โจทย์หินเรื่อง “ซากศพ” และ “โรคระบาด”
ดร.สนธิ ชี้ให้เห็นว่า โจทย์ที่ยากและซับซ้อนกว่าการระบายน้ำ คือภารกิจ “ฟื้นฟูและเยียวยา” ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อสุขภาวะขั้นรุนแรง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ศพ” ทั้งร่างของผู้เสียชีวิตและซากสัตว์เลี้ยงจำนวนมากที่จมอยู่ใต้น้ำ
ความเร่งด่วนในการจัดการศพ: เมื่อน้ำลด ภาพความสูญเสียจะปรากฏชัดเจนขึ้น กระบวนการจัดการต้องแข่งกับเวลา ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การเก็บกู้ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล และการแจ้งญาติ โดย ดร.สนธิ ย้ำชัดว่า “ต้องเผาทันที” หากปล่อยทิ้งไว้ สภาพศพที่เน่าเปื่อยรวดเร็วจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขนาดใหญ่ที่อันตรายต่อผู้คนในพื้นที่
แนวรุกทางการแพทย์ต้องเปลี่ยน: ดร.สนธิ ฝากถึงหน่วยงานรัฐที่กำลังลงพื้นที่ว่า อาหารและน้ำดื่มนั้นจำเป็น แต่สิ่ง “ขาดไม่ได้” ในเวลานี้คือ “หน้ากากอนามัย” และอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรค ทีมบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานเชิงรุก เข้าถึงพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดเพื่อดักทางโรคระบาดที่มากับซากเน่าเปื่อย ประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตัวเอง ไม่เช่นนั้นเราอาจเจอวิกฤตโรคระบาดซ้ำเติมวิกฤตน้ำท่วม
ผ่า 5 ปมความล้มเหลว: ทำไมภาคใต้ถึงรับมือไม่ได้?
ดร.สนธิ ได้ถอดบทเรียนการทำงานของภาครัฐ โดยชี้ให้เห็น “รูรั่ว” ขนาดใหญ่ 5 จุด ที่ทำให้น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายมหาศาล:
- กับดัก “ระบบรวมศูนย์อำนาจ”
การตัดสินใจที่กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางทำให้การแก้ปัญหาหน้างานล่าช้า หลักการที่ถูกต้องคือ “ส่วนกลางวางแผน-ท้องถิ่นบัญชาการ” แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (Single Command) ที่แท้จริงในระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดควรมีอำนาจเต็มในการสั่งการ และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ชัดเจนว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้นจริงเมื่อภัยมาถึง
- ไร้เอกภาพในการทำงาน
หน่วยงานหลักอย่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมีหน้าที่บูรณาการข้อมูลจากกรมชลประทาน กรมอุตุฯ และ ปภ. กลับล้มเหลวในการประเมินผลกระทบ แม้จะรู้ว่าฝนจะตกหนักช่วง 19-25 พ.ย. 68 แต่การวิเคราะห์กลับไม่ชี้ชัดถึงระดับความรุนแรง ทำให้จังหวัดตั้งรับด้วยความ “ประมาทเลินเล่อ” เพราะยึดติดกับข้อมูลเก่าว่าหาดใหญ่ระบายน้ำได้เร็วเหมือนปีก่อนๆ จึงไม่มีการตั้งศูนย์ EOC (Emergency Operation Center) เพื่อรับมือล่วงหน้า
- ระบบเตือนภัย “ไฮเทคแต่ไร้ทิศทาง”
แม้ระบบ Cell Broadcast จะส่งข้อความแจ้งเตือนเข้ามือถือประชาชนได้ถึง 90% แต่ “เนื้อหา” กลับสอบตก ข้อความแจ้งเตือนระบุเพียงกว้างๆ ให้เก็บของและเตรียมอพยพ แต่ขาดรายละเอียดสำคัญ:
อพยพไปที่ไหน? (จุดปลอดภัยคือจุดใด)
ใช้เส้นทางไหน? (เส้นทางไหนน้ำไม่ท่วม)
ต้องออกเมื่อไหร่? (ระดับวิกฤตที่ต้องทิ้งบ้านคือตอนไหน) ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ประชาชนสับสนและตัดสินใจไม่ได้จนวินาทีสุดท้าย
- ประชาชนไม่ตื่นตัวและขาดการซ้อม
ผลพวงจากการแจ้งเตือนที่ไม่ชัดเจน ผสมโรงกับความที่ไม่เคยมีการฝึกซ้อมแผนอพยพอย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป เมื่อมวลน้ำมาเร็วกว่าและแรงกว่าที่เคยประสบ หลายคนจึงอพยพไม่ทัน กลายเป็นผู้ประสบภัยติดค้างในพื้นที่จำนวนมาก
- ผังเมืองวิกฤต: เมืองขวางทางน้ำ
ปัญหาเรื้อรังของการพัฒนาเมืองที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ โดยเฉพาะเมืองหาดใหญ่ที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นและถนนตัดผ่านขวางทางน้ำไหล ขณะเดียวกันพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ หรือ “แก้มลิง” ก็ถูกรุกล้ำจนไม่เหลือพื้นที่ซับน้ำ ระบบระบายน้ำจึงต้องพึ่งพาเพียงคลองอู่ตะเภาและคลอง ร.1 ซึ่งไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำมหาศาล
คำเตือนสู่อนาคต: “อีก 5 ปี จะหนักกว่านี้”
ดร.สนธิ ฝากคำเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงต่อ ว่าหากยังบริหารจัดการแบบเดิม ไม่มีการรื้อระบบผังเมือง ไม่ติดตามข้อมูลสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง (Climate Change) และไม่ถอดบทเรียนวิธีบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจัง
“ไม่เกิน 5 ปี น้ำจะท่วมภาคใต้หนักกว่ารอบนี้ และความสูญเสียจะประเมินค่าไม่ได้”
ทางออกประเทศไทย: 6 ข้อเสนอแนะเพื่อฝ่าวิกฤต
กระจายอำนาจสู่จังหวัด (Decentralization): ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการภัยพิบัติ (Single Command Authority) ส่วนกลางทำหน้าที่เพียงสนับสนุนข้อมูลและทรัพยากร หากสถานการณ์เกินรับมือ นายกรัฐมนตรีจึงลงมาสั่งการเอง
ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ: การแก้ปัญหาน้ำท่วมต้องทำแบบบูรณาการ ทั้งจาก “บนลงล่าง” (นโยบายชัดเจน) และ “ล่างขึ้นบน” (ชุมชนร่วมวางแผน) ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
ปฏิวัติระบบแจ้งเตือนภัย: สร้างองค์กรหรือช่องทางสื่อสารที่ประชาชนเชื่อถือได้ ข้อมูลต้อง “ระบุพิกัด ระดับน้ำ และจุดอพยพ” ที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามได้ทันที
สังคายนาผังเมืองและทางน้ำ: ต้องกล้าสำรวจและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ พร้อมทั้งสร้างแก้มลิงหรือคลองผันน้ำเพิ่ม เพื่อคืนพื้นที่หายใจให้น้ำ
สร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง”: ให้ความรู้ จัดทำแผนชุมชน และซ้อมแผนเผชิญเหตุสม่ำเสมอ เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่าเมื่อไซเรนดัง ต้องวิ่งไปทางไหน
เยียวยาจิตใจ (Mental Health): หลังน้ำลด ร่องรอยความเสียหายทางวัตถุอาจซ่อมได้ แต่บาดแผลทางใจของผู้สูญเสียต้องใช้นักจิตวิทยาเข้าเยียวยา เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาดำเนินชีวิตต่อได้
บทสรุปจาก ดร.สนธิ สะท้อนให้เห็นว่า “ภัยธรรมชาติ” อาจห้ามไม่ได้ แต่ “ความเสียหาย” สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ หากมีการบริหารจัดการที่ดี วันนี้โจทย์จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า “ฝนจะตกหนักแค่ไหน” แต่อยู่ที่ว่า “รัฐบาลพร้อมแค่ไหน” ที่จะปกป้องชีวิตประชาชน