ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ด้วยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการกัดเซาะชายฝั่งที่ทวีความรุนแรง หากไม่มีการรับมืออย่างจริงจัง พื้นที่เหล่านี้อาจจมน้ำภายในปี 2050
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ภาวะโลกร้อนกำลังสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเผชิญกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตามรายงานของ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2025–2029 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้น 1.2 ถึง 1.9 องศาเซลเซียส เทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม (ค.ศ. 1760–1825) โดยมีแนวโน้มแตะ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจนำไปสู่สภาวะ “โลกรวน” (climate disruption) ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงยิ่งขึ้น เช่น พายุที่รุนแรง น้ำท่วม และการกัดเซาะชายฝั่ง.
ผลกระทบที่สำคัญคือ ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้น 21–24 เซนติเมตร (8–9 นิ้ว) อันเป็นผลจากการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งในขั้วโลก รวมถึงการขยายตัวของน้ำทะเลจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นในอัตรา 3.6 มิลลิเมตรต่อปี เมื่อรวมกับการทรุดตัวของแผ่นดินในพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 1–2 เซนติเมตรต่อปี ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วมในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 1 เมตรในปี 2100 หรือ 2.5 เมตร หากแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกพังทลาย
การกัดเซาะชายฝั่ง: ภัยเงียบที่รุกคืบ
ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทยตอนบน เริ่มชัดเจนตั้งแต่ทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980) สาเหตุมาจากทั้งปัจจัยธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ คลื่นลม และการทรุดตัวของแผ่นดิน รวมถึงกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้โกงกาง การก่อสร้างเขื่อน หรือกำแพงกันคลื่นที่ไม่เหมาะสม และการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 5.8 มิลลิเมตรต่อปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ และการทรุดตัวของดินที่มากถึง 1–2 เซนติเมตรต่อปี ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการสูบน้ำบาดาล หรือมีดินเหนียวอ่อน ซึ่งทรุดตัวง่าย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ วัดขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งกลายเป็น “วัดกลางทะเล” จากการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรง ในอดีตวัดนี้มีพื้นที่กว่า 76 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 5 ไร่ เนื่องจากน้ำทะเลกัดเซาะที่ดินจนหายไป สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่อาจทำให้พื้นที่ชายฝั่งในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการถูกน้ำท่วมทั้งหมดภายในปี 2050 หากไม่มีการรับมืออย่างจริงจัง
การรับมือของรัฐบาลและแผนแม่บท
สอดรับกับเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพฯ เพื่อติดตามสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่ง และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นบริเวณอ่าวไทยตอนบน โดยตรวจเยี่ยมพื้นที่สำคัญ เช่น วัดขุนสมุทรจีน อ.พระสมุทรเจดีย์, ชายฝั่งคลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และหลักเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
ซึ่งพบว่า พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน เผชิญปัญหาการกัดเซาะและน้ำท่วมที่กระทบชุมชนกว่า 12 ล้านคน และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ คาดว่าในปี 2050 ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 0.5 เมตร และอาจถึง 1 เมตรในปี 2100 หรือสูงสุด 2.5 เมตร ในกรณีเลวร้ายที่สุด ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีน และบางปะกง รวมถึงปัญหาน้ำเค็มรุกตัว ที่กระทบการผลิตน้ำประปาและการเกษตร
รัฐบาลได้มอบหมายให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำ “แผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2569
แผนนี้จะวิเคราะห์ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ ผ่านการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) และการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางรับมือที่ยั่งยืน เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น การลงทุนในพลังงานสะอาด และการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น การปลูกป่าโกงกาง
อนาคตของกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ: ความท้าทายและความหวัง
หากไม่มีการรับมืออย่างจริงจัง กรุงเทพฯ และสมุทรปราการอาจเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ภายในปี 2050 โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่ง เช่น บางขุนเทียน คลองด่าน และแหลมฟ้าผ่า ซึ่งอาจสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนแม่บทและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนสามารถชะลอผลกระทบและสร้างความยืดหยุ่นให้กับชุมชนได้ การฟื้นฟูป่าโกงกาง การสร้างกำแพงกันคลื่นที่เหมาะสม และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องชายฝั่งอ่าวไทย.
อ้างอิง :