COP30 วาระ ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ส่งเสียงคนตัวเล็กตัวน้อยแก้โลกร้อน

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การประชุม COP30 จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในฐานะที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของแนวทางการรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยบราซิลในฐานะประเทศเจ้าภาพในครั้งนี้ ใช้แนวคิด “การมองคนเป็นศูนย์กลาง” (Human-Centered Approach) ซึ่งประธาน COP30 อังเดร อารันญา กอร์เรอา ดู ลาโก (André Aranha Corrêa do Lago) ได้เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์ แต่เกี่ยวข้องกับ “เรื่องของมนุษย์” ที่เชื่อมโยงกับชีวิต ศักดิ์ศรี และอนาคตของประชาคมโลก (1)

สารจากผู้จัดงาน COP30 ระบุชัดว่า การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนนั้นต้องมาจากตัวผู้คนเอง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในแนวหน้า ได้แก่ ชนพื้นเมือง ผู้หญิง เยาวชน และชุมชนที่เปราะบาง ซึ่งพวกเขาไม่ใช่เป็นเพียงเหยื่อ แต่เป็นผู้นำในการดูแล ฟื้นฟู และสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบนิเวศและสังคม พวกเขาคือผู้มีสิทธิ (Rights-Holders) ที่ควรจะได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำในการตอบสนองต่อวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศ (1)

บราซิลจึงมาพร้อมกับแนวคิดที่ให้การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ “เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ผู้คน” เพราะที่มาแท้จริงของปัญหานี้คือ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน การลดผลกระทบ การปรับตัว การเงิน และเทคโนโลยี ล้วนเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิต สุขภาพ ที่อยู่อาศัย น้ำ อาหาร การศึกษา และเสรีภาพของมนุษย์ ดังนั้น การแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศจึงควรสอดคล้องกับการขจัดความยากจน ความหิวโหย และการสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน (1)

ประชากรกลุ่มเปราะบางทั่วโลกกำลังแสดงบทบาทนำที่แข็งแกร่งในสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นหัวใจของความยืดหยุ่นทางสังคม ในขณะที่เยาวชนก็กำลังผลักดันให้เกิดการลงมือทำอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ชนพื้นเมืองยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของโลกถึง 80% ขณะที่ชุมชนชายฝั่งและชนบทสืบทอดภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน กลุ่มลูกหลานชาวแอฟริกันและชุมชนเมืองรอบนอกก็มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (1)

การจัดประชุม COP30 ใกล้กับผืนป่าแอมะซอนจึงมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และการปฏิบัติ โดยมุ่งหวังที่จะเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ถูกมองข้ามและผู้ที่เปราะบางได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับโลก บราซิลกำลังเตรียมส่งเสริมแนวคิดนี้ผ่านการสร้างความร่วมมือใน Circle of Peoples” และการดำเนินการตาม Action Agenda” 6 แกน เพื่อเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ากับกระบวนการติดตามความก้าวหน้า Global Stocktake (GST) (1)

ในงานประชุมผู้นำ (Leaders’ Summit) จะมีการเชิญผู้นำจากทั่วโลกมาหารือเกี่ยวกับแนวทางที่เชื่อมโยงนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คน เพื่อให้แผนงานระดับชาติ ตั้งแต่อดีต NDCs, NAPs ไปจนถึงเรื่องการเงินและพลังงาน สะท้อนถึง “เป้าหมายของประชาชน” อย่างแท้จริง ดังนั้น COP30 จึงถูกมองว่าเป็น “พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน” จากยุคที่เน้นการสกัดและการควบคุมทรัพยากร สู่ยุคที่มุ่งหมายให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาและเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อให้การต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นเริ่มต้นและสิ้นสุดที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ (1)

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เสียงจากแนวหน้าของการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศถูกถ่ายทอดอย่างมีคุณภาพ การประชุม COP30 จึงได้จัดตั้งโครงการ Circle of Peoples เพื่อยกระดับบทบาทของชนพื้นเมืองและชุมชนดั้งเดิมในกระบวนการเจรจา ชุมชนเหล่านี้อาศัยอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และเป็นผู้ที่เผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างตรงไปตรงมา แต่พวกเขาก็มีแนวทางในการปรับตัวที่สร้างสรรค์และยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกับผืนดินและวัฒนธรรมของตนเอง (2)

งานวิจัยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า ดินแดนของชนพื้นเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ทางสิ่งแวดล้อมอย่างมาก และมีความสามารถในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพได้ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ การอนุรักษ์พื้นที่เหล่านี้จึงเท่ากับการรักษาแหล่งกักเก็บคาร์บอนและระบบนิเวศที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน (2)

โครงการนี้มี โซเนีย กัวจาฮารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการชนพื้นเมืองของบราซิล เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมาธิการหลัก 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชนพื้นเมืองระหว่างประเทศ (International Indigenous Commission) ที่รวมตัวแทนชนพื้นเมืองจากทั่วโลกเข้ามาร่วมกันเพื่อสนับสนุนการเตรียมการและดำเนินการสี่เสาหลักของ COP30 และคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศของชุมชนดั้งเดิม ผู้สืบเชื้อสายชาวแอฟริกัน และเกษตรกรรายย่อย (International Commission of Traditional Communities, Afro-descendants, and Family Farmers) ที่มีตัวแทนจาก 16 ประเทศในละตินอเมริกา โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องสำคัญ เช่น การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม การจัดหาเงินทุน ความเท่าเทียมทางเพศ การปกป้องนักปกป้องสิ่งแวดล้อม และการจัดการกับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศ (2)

COP30 ที่จัดขึ้นในเมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล ถูกคาดหวังไว้อย่างสูงว่าจะเป็น People’s COP” เนื่องจากในปัจจุบันประชาชนสามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองได้ โดยชนพื้นเมืองซึ่งมีเพียง 5% ของประชากรโลกกลับมีบทบาทในการดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพถึง 80% ขณะที่คนเกือบ 9 ใน 10 คน เรียกร้องให้รัฐบาลทำงานด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน (3)

ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีของบราซิลได้เสนอให้ COP30 เป็น “Global Mutirão” หรือความร่วมมือระดับโลกจากรากหญ้า โดยมีแนวคิด “Citizens’ Track” เพื่อเปิดโอกาสให้พลเมืองทั่วโลกส่งเสียงผ่านสมัชชาพลเมืองโลก หรือ Global Citizens’ Assembly โดยจะมีการนำเสนอรายงาน People’s Report ควบคู่ไปกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และรายงานจากรัฐบาล เพื่อให้เสียงของประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกระบวนการ COP อย่างแท้จริง (3)

 

อ้างอิง:

(1) https://cop30.br/en/brazilian-presidency/letters-from-the-presidency/fifth-letter-from-the-presidency

(2) https://cop30.br/en/brazilian-presidency/cop-30-circles/circle-of-peoples

(3) https://www.forbes.com/sites/globalcitizen/2025/10/31/the-cop30-talks-must-be-the-peoples-cop-and-turn-ideas-into-impact

Related posts

‘COP30’ ชูธงยุติธรรมสภาพภูมิอากาศผ่าน ‘ปฏิญญาเบเลง’

วาระโลกร้อนที่บราซิล
บทบาทไทยในเวที COP30

GISTDA เปิด 3 จังหวัด เสี่ยงน้ำท่วม หลังเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มระบายน้ำ