เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้วนั้น ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับความผันผวนของภูมิอากาศที่ส่งผลต่อทั้งปริมาณฝน พื้นที่เกษตรกรรม ไปจนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นผลมาจาก “การเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา” ที่กำลังก่อตัวและเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วในปีนี้
ตั้งแต่ช่วงต้นปี ไทยต้องรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวนจากการเกิดปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization (WMO)) ได้ออกมายืนยันว่า “ปรากฏการณ์ลานีญา” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วงต้นปี 2025 (1) ซึ่งเป็นผลจากการที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนฝั่งตะวันออกเย็นลงกว่าค่าปกติอย่างต่อเนื่อง โดยมีลักษณะสำคัญคือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกบริเวณเส้นศูนย์สูตรลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ซึ่งโดยทั่วไปจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลม ความกดอากาศ และปริมาณฝนในหลายภูมิภาคของโลก เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่มักประสบกับฝนตกหนัก (1)(4)
“ลานีญา” คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน มีลักษณะเด่นคือ การลดลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตเส้นศูนย์สูตร ตรงข้ามกับปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในพื้นที่เดียวกันอุ่นขึ้น (1)
ผลกระทบของลานีญาต่อสภาพอากาศทั่วโลกนั้นหลากหลาย มักจะทำให้เกิดสภาพอากาศที่เย็นกว่าปกติในบางพื้นที่และอาจทำให้เกิดฝนตกหนักในบางภูมิภาค อาทิ ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียและบางส่วนของออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน บางพื้นที่อย่างอเมริกาใต้บางส่วนอาจประสบกับภัยแล้ง การเกิดลานีญามักเกิดขึ้นในวงรอบที่ไม่แน่นอนประมาณทุก 2-7 ปี และมักจะเกิดขึ้นหลังจากปรากฏการณ์เอลนีโญสิ้นสุดลง (1)
จากการพยากรณ์ล่าสุดจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนคาดว่า จะกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีโอกาส 60% ที่สภาพอากาศจะกลับไปสู่ช่วงอุณหภูมิที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า สภาวะเป็นกลาง (ENSO-neutral) ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2025 และเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2025 (1)
การพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเอลนีโญและลานีญามีความสำคัญในการแจ้งเตือนล่วงหน้าและการดำเนินการป้องกัน ตามที่ Celeste Saulo เลขาธิการ WMO กล่าวไว้ว่า การพยากรณ์เหล่านี้แปลเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ในการประหยัดทางเศรษฐกิจสำหรับภาคส่วนสำคัญ ทั้งเกษตรกรรม พลังงาน และการขนส่ง และยังได้ช่วยชีวิตผู้คนหลายพันคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยการเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (1)
สำหรับลานีญา การเย็นตัวของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกจะทำให้ลม ความดัน และปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีผลกระทบทางภูมิอากาศที่ตรงข้ามกับเอลนีโญ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อน ตัวอย่างเช่น ในช่วงเอลนีโญ ที่ออสเตรเลียมักประสบกับภัยแล้ง ในขณะที่ลานีญาสามารถทำให้เกิดฝนตกหนักและอุทกภัยตามมาได้ แต่ในทางกลับกันบางส่วนของอเมริกาใต้อาจประสบกับภัยแล้งในช่วงลานีญา แต่จะมีสภาพอากาศชื้นขึ้นในช่วงเอลนีโญ (1)
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ปรากฏการณ์ภูมิอากาศทางธรรมชาติเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งกำลังทำให้โลกร้อนขึ้นและเกิดสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ตามข้อมูลจาก WMO เดือนมกราคม 2025 ระบุว่า เป็นเดือนมกราคมที่อุ่นที่สุดในบันทึกสถิติ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงปรากฏการณ์ลานีญาที่อากาศควรจะต้องเย็นลง (1)
ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งล่าสุดได้ส่งผลให้ภูมิอากาศช่วงนั้นขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 5 เหตุการณ์ด้านสภาพอากาศที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทำให้อุณหภูมิสูงทะลุออกจากกราฟในปี 2023 และทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก WMO เตือนว่า ปรากฎการณ์ของภูมิอากาศทั้งเอลนีโญและลานีญากำลังเกิดขึ้นในบริบทที่กว้าง สภาพอากาศสุดขั้วจะมีบ่อยและรุนแรงมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของฝนและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทําไมเดือนมกราคมจึงเป็นเดือนที่อุณหภูมิสูงที่สุดที่เคยบันทึกไว้ (1)
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงกว่าปกติซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ทั่วทั้งมหาสมุทรหลักทั้งหมด ยกเว้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกใกล้เส้นศูนย์สูตร การคาดการณ์ล่าสุดจาก GSCU (Global Seasonal Climate Update) ชี้ว่าอุณหภูมิจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในเกือบทุกพื้นที่ทั่วโลก (2)
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า ลานีญาสิ้นสุดลงแล้ว? คำตอบคือ จากการวัดอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในบริเวณ Niño 3.4 ซึ่งเป็นค่าหลักในการประเมินปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา (ENSO) โดยถ้าค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเย็นกว่าค่าปกติตั้งแต่ -0.5 °C ขึ้นไป จะถือว่าเป็นลานีญา แต่ในเดือนมีนาคม 2025 ค่าดังกล่าวอยู่ที่ -0.01 °C ซึ่งเกือบเท่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (1991–2020) แสดงให้เห็นว่าเข้าสู่ภาวะเป็นกลางแล้ว นอกจากนี้น้ำเย็นใต้ผิวน้ำที่เคยสะสมก็เริ่มลดลง ขณะที่น้ำอุ่นทางตะวันออกแผ่ขยายเข้ามาแทน และสัญญาณจากชั้นบรรยากาศอย่างการไหลเวียนวอล์คเกอร์ก็เริ่มอ่อนกำลังลง จึงยืนยันได้ว่าลานีญาได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างชัดเจน (3)
การผสมผสานของอุณหภูมิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในแปซิฟิกตอนกลางที่อ่อนกำลังลง และการขยายตัวของน้ำอุ่นในแปซิฟิกตะวันออกไกล (Far East) ช่วยลดอุณหภูมิผิวน้ำที่เย็นกว่าในช่วงลานีญาลง ปริมาณน้ำที่เย็นกว่าปกติใต้ผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานให้กับผิวหน้าก็ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (3)
การกำหนด “ค่าเฉลี่ยระยะยาว” ในปัจจุบันใช้ช่วงปี 1991–2020 ตามมาตรฐานของ WMO สำหรับการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศตามฤดูกาล การอัปเดตช่วงค่าเฉลี่ยทุก 5 ปีสำหรับ ENSO เพื่อพยายามชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ฤดูหนาวปี 2024–2025 ที่ผ่านมาจึงยังไม่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ลานีญาอย่างเป็นทางการตามเกณฑ์ที่ต้องคงอยู่ 5 ฤดูกาลต่อเนื่อง (3)
สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 2025 คือสภาวะเป็นกลางมีแนวโน้มสูงที่จะดำเนินไปจนถึงช่วงฤดูร้อน โอกาสที่จะเกิดเอลนีโญหรือลานีญาจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี โดยโอกาสเกิดลานีญามีประมาณสองเท่าของเอลนีโญ แต่สภาวะเป็นกลางยังคงมีความน่าจะเป็นสูงสุดจนถึงช่วงต้นฤดูหนาว (3)
นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์สภาพภูมิอากาศ (CPC) ของ NOAA ได้ออกคำแนะนำสุดท้ายเกี่ยวกับลานีญา โดยระบุว่า ลานีญาได้สิ้นสุดลงแล้วหลังจากที่สภาวะเป็นกลางกลับมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สถานะของ ENSO มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงภัยแล้ง พายุเฮอริเคน และพายุฤดูหนาว (4)
ปรากฏการณ์ลานีญาที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น แม้จะถูกคาดหวังมาตลอดปี 2024 แต่ก็เพิ่งเกิดขึ้นจริงและไม่ได้รุนแรงเท่าที่คาดไว้ มันเกิดขึ้นช้ากว่าที่นักอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้หลายเดือน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าทำไมการพยากรณ์จึงคลาดเคลื่อนไปมาก หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์มีส่วนทำให้ล่าช้าหรือไม่ (5)
ความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยได้รับอิทธิพลหลักจากกระบวนการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรและบรรยากาศ เช่น ENSO และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลมหาสมุทรอินเดีย หรือ IOD เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบสำคัญต่อเกษตรกรรมและการจัดการน้ำในประเทศ (6) ในช่วงที่เกิดลานีญา มักจะทำให้ปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก (5)
อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่เอลนีโญในช่วงปลายปี (3) ประเทศไทยอาจเผชิญกับสถานการณ์ตรงกันข้ามคือ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ลดลง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยแล้ง และส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว และการบริหารจัดการแหล่งน้ำในประเทศ การทำความเข้าใจความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนซึ่งเป็นผลพวงจากลานีญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนรับมือในระดับประเทศ (6)
อ้างอิง:
(1) https://ngthai.com/environment/77648/elnino-la-nina-2025/
(2) https://wmo.int/news/media-centre/la-nina-event-expected-be-short-lived
(3)https://www.climate.gov/news-features/blogs/enso/april-2025-enso-update-la-nina-has-ended
(4) https://www.foxweather.com/weather-news/el-nino-la-nina-enso-status-forecast-april-2025
(5) https://www.nationthailand.com/news/general/40045053?utm
(6) https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0012825225000637