มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงปั้นคาร์บอนเครดิตชุมชน ชู ‘บ้านหัวทุ่ง’ โมเดลต้นแบบ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ขับเคลื่อน คาร์บอนเครดิตป่าชุมชน ชู “บ้านหัวทุ่ง” โมเดลต้นแบบคาร์บอนเครดิตที่สะท้อนป่าฟื้น คนยั่งยืน

นายสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature-based Solutions และ Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมโครงการ “จัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้มาตรฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

สมิทธิ หาเรือนพืชน์ สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature-based Solutions และ Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

 

โครงการนี้เริ่มจากโมเดล “ปลูกป่า ปลูกคน” ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาโลก จนขยายผลสู่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่กว่า 287,000 ไร่ ดูแลโดยชุมชนมากกว่า 300 ชุมชนใน 12 จังหวัด ในภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 30 องค์กร

ตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ยืนยันผลลัพธ์จริงพื้นที่เสียหายจากไฟป่าของพื้นที่โครงการระยะที่ 1–2 ลดจากค่าเฉลี่ย 12% เหลือ 4% (พ.ศ. 2567) ส่วนระยะที่ 3 ลดจาก 8% เหลือ 3% สะท้อนประสิทธิภาพการดูแลป่าอย่างต่อเนื่องทั้งฤดูไฟและนอกฤดูไฟ

จุดเด่นของบ้านหัวทุ่งคือ รายได้ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า หากแต่มาจาก “การดูแลป่า” และ “การต่อยอดภูมิปัญญา” เงินสนับสนุนจากกองทุนในโครงการฯ ถูกนำมาทำเพาะให้เกิดการจ้างงานดูแลป่า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรอย่างน่าทึ่ง

หัวใจของโครงการคือ “ชุมชนเป็นเจ้าของกติกา ข้อมูล ผลประโยชน์” เงินสนับสนุนที่มาจากภาคีและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตถูกออกแบบให้ไปสู่หมู่บ้านผ่านสองกองทุน ได้แก่ กองทุนดูแลป่าเพื่อใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า และป้องกันและบรรเทาไฟป่าเช่น ทำแนวกันไฟ ลาดตระเวน สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูก ฟื้นฟูป่า และกองทุนพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมรายได้ฐานรากและลดแรงกดดันต่อทรัพยากร เงินสองกองทุนหมุนเวียนแล้วกว่า 157 ล้านบาท โดยชุมชนวางแผนเสนอโครงการ และติดตาม และรายงานผลกันเอง

ขณะที่ มูลนิธิฯ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงด้านมาตรฐาน การติดตาม ตรวจวัด (Measurement, Reporting and Verification: MRV) และธรรมาภิบาล ทำให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตที่ยกคุณภาพชีวิตคนและต่ออายุป่า

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้คาร์บอนเครดิตมีคุณภาพและตรวจสอบได้ โครงการใช้แปลงตัวอย่างภาคสนามตามมาตรฐาน T-VER ผนวกกับผลแปลภาพถ่ายประเภทป่าและความหนาแน่นชั้นเรือนยอด เปรียบเทียบข้อมูล ขณะเริ่มโครงการ กับ “หลังเข้าโครงการ” เพื่อประเมินการกักเก็บและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในป่าชุมชน ซึ่งทำให้ข้อมูลโปร่งใส ทวนสอบได้ และต่อยอดสู่การขอรับรองคาร์บอนเครดิตในอนาคต โดยรักษาหลักการผู้ทำจริงได้ประโยชน์จริง

ตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจนอีก 1 ชุมชน คือ “ชุมชนบ้านหัวทุ่ง” อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งชุมชนได้พิสูจน์ความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนในฐานะชุมชนต้นแบบในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว และแหล่งกำเนิด “น้ำออกฮู” สายน้ำย่อยของแม่น้ำปิง ชุมชนแห่งนี้เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับมูลนิธิตั้งแต่ปี 2565 ดูแลป่าชุมชน 883.93 ไร่ เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน

ความสำเร็จนี้อยู่ภายใต้การนำของ “แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน” ผู้นำชุมชนสตรีที่รวบรวมพลังคนทุกวัย สร้างโครงสร้างบทบาทและธรรมาภิบาลที่ชัดเจนในชุมชน ทั้งการตั้งกติกาการใช้ประโยชน์ป่า จัดเวรยามลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และเก็บข้อมูลแปลงตัวอย่างร่วมกับทีมเทคนิค ทำให้ป่าฟื้นตัวต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงไฟป่าอย่างมีนัยสำคัญ และยกระดับความมั่นคงของระบบนิเวศต้นน้ำ ซึ่งคนทั้งลุ่มน้ำปิงได้รับประโยชน์ร่วมกัน

จุดเด่นของบ้านหัวทุ่งคือ รายได้ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า หากแต่มาจาก “การดูแลป่า” และ “การต่อยอดภูมิปัญญา” เงินสนับสนุนจากกองทุนในโครงการฯ ถูกนำมาทำเพาะให้เกิดการจ้างงานดูแลป่า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรอย่างน่าทึ่ง อาทิ การนำเศษไม้ไผ่เหลือใช้จากงานจักสาน มาเผาเป็นถ่าน และพัฒนาต่อเป็นก้อนดับกลิ่น ที่ดันทรงรองเท้า สบู่ และยาสีฟัน สร้างรายได้เสริมแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชน

ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จนี้ยังได้ขยายผลสู่ชุมชนข้างเคียงอีก 5 หมู่บ้าน เกิดการถ่ายทอดทักษะอาชีพหลากหลาย ทั้งการเพาะเห็ด เลี้ยงผึ้ง อาหารพื้นถิ่น และงานจักสาน ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นเส้นทางอาชีพในบ้านเกิดโดยไม่ต้องเบียดเบียนป่า และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะ “ผู้พิทักษ์ต้นน้ำ”

ในมุมสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ของบ้านหัวทุ่งและเครือข่ายชี้ชัดว่าการป้องกันเชิงรุกทำให้ไฟป่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงลดความเสี่ยง PM2.5 จากไฟป่าและการสูญเสียคาร์บอนกักเก็บ ป่าที่ฟื้นตัวช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศสำคัญ เช่น การซึมซับน้ำฝน การลดการพังทลายของดิน และการรักษาต้นทุนคุณภาพน้ำของประเทศ

นายสมิทธิ กล่าวว่า เมื่อป่าต้นน้ำแข็งแรง เศรษฐกิจฐานทรัพยากรที่พึ่งพาน้ำก็มั่นคงขึ้น ทั้งต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และเมืองปลายน้ำที่ต้องการน้ำประปาคุณภาพ ซึ่งคือประโยชน์สาธารณะของคนทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต

นอกจากนี้ ในมุมเศรษฐกิจของชุมชนคาร์บอนเครดิตทำหน้าที่เป็น “แรงจูงใจที่ยุติธรรม” มากกว่าจะเป็นเพียงเครื่องมือชดเชยร่องรอยคาร์บอนของธุรกิจ ราคาซื้อขายในตลาดสมัครใจภายในประเทศขึ้นอยู่กับปีวินเทจ (Vintage Year เป็นศัพท์เฉพาะในวงการคาร์บอนเครดิต = ปีที่คาร์บอนเครดิตถูกสร้างจากการลดก๊าซเรือนกระจกจริงและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนด “ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต” ในตลาดสมัครใจ) คุณภาพข้อมูล และคู่สัญญา แต่โดยภาพรวมยังอยู่ใน “หลักพันบาทต่อหนึ่งตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”

ทั้งนี้ ตัวอย่างราคาอ้างอิงสาธารณะอยู่ราว 2,000 บาท/ตัน CO₂e เมื่อขายได้ เงินส่วนชุมชนจะกลับเข้าสู่สองกองทุนเพื่อจ้างงานดูแลป่าและต่อยอดอาชีพต่อเนื่อง เกิดวัฏจักร “เงิน งาน ป่า” ที่หมุนเวียนในพื้นที่และทำให้การอนุรักษ์คงอยู่ได้ด้วยตัวเองระยะยาว

โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแสดงให้เห็นภาพใหญ่ที่สังคมไทยกำลังมองหารูปธรรมของคาร์บอนเครดิตที่ยึดโยงกับชีวิตคนในชุมชน ปกป้องต้นน้ำ สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และส่งมอบอากาศและน้ำที่ดีให้คนทั้งประเทศ

“บ้านหัวทุ่ง” จึงมิใช่เพียงตัวอย่างความสำเร็จของป่าชุมชนเชียงดาว หากเป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อกติกาและแรงจูงใจถูกออกแบบให้เป็นธรรม คาร์บอนเครดิตก็จะกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างป่าที่สมบูรณ์ สังคมที่เท่าเทียม และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จนก่อให้เกิด Total Well-being ได้อย่างแท้จริง

อนึ่ง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ส่งมอบคาร์บอนเครดิตระยะที่ 1 จำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย 

 

Related posts

กทม.เก็บกระทง 3.9 แสนใบ ลด 24% – ธรรมชาติพุ่ง 83%

ประเด็นที่ควรรู้ ก่อนถึงการประชุม COP30

‘สุชาติ’ ส่ง ‘ภัทรานันท์’ ลุยเวที COP30 ชู 5 ประเด็น รับมือโลกเดือด