กพช. ดัน ‘โซลาร์ฟาร์มชุมชน-ระบบส่งไฟฟ้า EEC’ หนุนพลังงานสะอาด

กพช. อนุมัติ 7 วาระสำคัญ ผลักดัน “โซลาร์ฟาร์มชุมชน” 1,500 เมกะวัตต์ ลดค่าไฟประชาชน ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า EEC รองรับ Data Center และเชื่อมโยงพลังงานสะอาดอาเซียนผ่าน LTMS-PIP ระยะที่ 2 มุ่งสร้างความมั่นคงพลังงานและอนาคตยั่งยืน

 

วันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงาน 7 เรื่อง และมีมติเห็นชอบเพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงานของประเทศไทยให้มีความมั่นคง ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ดังนี้

 

  • โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน

กพช. เห็นชอบกรอบหลักการเบื้องต้นของ “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระดับชุมชนและลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตสูงสุด 1,500 เมกะวัตต์ การกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของชุมชน และความพร้อมของที่ดิน การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย ระยะสัญญา 25 ปี แบบ Non-Firm และจำหน่ายไฟฟ้าให้ชุมชนเป้าหมาย การคัดเลือกเอกชนจะพิจารณาคุณสมบัติและความพร้อมด้านเทคนิคเพื่อให้มั่นใจในความสำเร็จของโครงการ สิทธิใน Renewable Energy Certificate (REC) และ Carbon Credit จะเป็นของภาครัฐ โดยระบุชัดเจนในสัญญา ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟภ.) ร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมายและหลักเกณฑ์ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม

 

  • สัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2

ที่ประชุมเห็นชอบร่างสัญญา EWA สำหรับโครงการบูรณาการไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (LTMS-PIP ระยะที่ 2) โดยกำหนดอัตราค่า Wheeling Charge ของไทยที่ 3.5879 US Cent ต่อหน่วย ซึ่งสามารถปรับเพิ่มได้หลังวันที่ 22 มิถุนายน 2569 โดยไม่ต้องเสนอ กพช. ซ้ำ เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอร่างสัญญานี้ต่อสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เพื่อตรวจพิจารณา และลงนามในสัญญาที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว โครงการ LTMS-PIP เป็นส่วนหนึ่งของ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งมุ่งเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ โดยระยะที่ 1 ส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปสิงคโปร์ได้ 266.33 ล้านหน่วย สิ้นสุดเมื่อ 21 มิถุนายน 2567 การดำเนินการนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรพลังงานและสนับสนุนพลังงานสะอาดในภูมิภาค

 

  • ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า EEC

กพช. อนุมัติให้ กฟผ. ใช้เงิน 3,000 ล้านบาทจากโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคง (TIPE) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติแล้ว เพื่อพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าในจังหวัดระยองและชลบุรี รองรับความต้องการไฟฟ้า 1,750 เมกะวัตต์จากกลุ่ม Data Center ตามนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำแผนระยะสั้นและระยะยาวเพิ่มเติม วงเงินรวม 30,500 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพระบบไฟฟ้าในพื้นที่ EEC และรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัล รวมถึงความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยต้องเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติต่อไป

 

  • โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน

ที่ประชุมเห็นชอบให้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ กฟผ. เสนอไว้ที่ 2.1941 บาทต่อหน่วย เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนและลักษณะโครงการ พร้อมให้เอกชนพิจารณาลดอัตราค่าไฟเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของประชาชน และมอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับระยะเวลาการลงนามสัญญาและขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอสัญญา โดยต้องไม่เกินปี 2573

 

  • ปรับปรุงกำหนด SCOD และแผน PDP2018 Rev.1

กพช. เห็นชอบปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (SCOD) และแผนการดำเนินงานโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561–2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยเน้นความมั่นคง ป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟประชาชน ครอบคลุมโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจาก ครม., โรงไฟฟ้าที่อนุมัติแล้วแต่ยังไม่ COD, โรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุผู้พัฒนา, โรงไฟฟ้า IPP ที่มีสัญญาแต่ยังไม่ COD และการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำร่างแผน PDP2024

 

  • กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2569-2571

ที่ประชุมเห็นชอบกรอบการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2569 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 2570-2571 ปีละ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน พัฒนาพลังงานทดแทน วิจัยนวัตกรรม สาธิตนำร่อง และพัฒนาบุคลากร โดยในปี 2569 เน้นกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ พร้อมให้คณะกรรมการกองทุนปรับรายละเอียดการจัดสรรได้ตามความเหมาะสมเพื่อความยืดหยุ่นและประสิทธิผล

 

  • ปรับโครงสร้างคณะกรรมการภายใต้ กพช.

กพช. เห็นชอบยกเลิกคณะกรรมการ 3 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผน PDP, และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน พร้อมตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชุดใหม่ และคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผน PDP ภายใต้ กบง. เพื่อให้การบริหารจัดการพลังงานมีความคล่องตัวและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 

นายอรรถพล กล่าวว่า โครงการ LTMS-PIP เป็นโครงการนำร่องสำคัญภายใต้ ASEAN Power Grid ที่ช่วยเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน ส่งเสริมการซื้อขายพลังงานสะอาดข้ามประเทศ ซึ่งระยะที่ 1 ประสบความสำเร็จในการส่งไฟฟ้า 266.33 ล้านหน่วยจาก สปป.ลาว ไปสิงคโปร์ การดำเนินการทั้ง 7 วาระนี้ จะช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ลดภาระค่าไฟประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในอนาคต

 

 

 

Related posts

MOU ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ไทย-สหรัฐฯ โอกาสเศรษฐกิจ หรือ กับดักสิ่งแวดล้อม?

ไทย-สหรัฐฯ ลงนาม MOU ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ครั้งแรก ยกระดับห่วงโซ่อุปทาน

‘ป่ารักน้ำ’ พระราชปณิธานปกป้องต้นน้ำแห่งชีวิต