กดดัน ‘อนุทิน’ เร่งถกเมียนมา ลาว จีน แก้สารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย

พรรคประชาชน จี้ “อนุทิน” เร่งหารือจีนในช่วงเยือนจีน พร้อมถกเมียนมา ลาว แก้สารปนเปื้อนเกินมาตรฐานในแม่น้ำกกและแม่สาย โดยจัดงบฯ เพิ่มความถี่ตรวจน้ำตรวจข้าว

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะโฆษกพรรค แถลงถึงปัญหาสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ว่า เป็นปัญหาที่ใหญ่มากที่กระทบต่อสุขภาพประชาชนคนไทย ปัญหาสารพิษในแม่น้ำมีความรุนแรง มีความเรื้อรัง มีความกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ หากพูดถึงการใช้น้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค พบว่าใน จ.เชียงราย มี 18 หมู่บ้านที่ตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐานในน้ำประปา และพบ 4 หมู่บ้านที่มีการตรวจพบสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำประปา

ยิ่งไปกว่านั้นในมุมการเกษตร ข้าวนาปีที่มีการใช้นำในแม่น้ำเหล่านี้เริ่มมีการเก็บเกี่ยวแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีการตรวจจนรู้ได้ว่าข้าวเหล่านี้นั้นมีการเปื้อนสารพิษหรือไม่ หากพูดในมิติการท่องเที่ยวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะแม่น้ำกกที่มีประเพณีเกี่ยวกับลุ่มน้ำมากมายนั้นก็ต้องปิดตัวลงไป (ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการมลพิษทางน้ำข้ามแดน ติดตามปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย) (https://www.igreenstory.co/pollution-21/ https://www.igreenstory.co/rare-earth/) 

ปัญหานี้กระทบประชาชนทุกภาคส่วนอย่างรุนแรง มีความเรื้อรัง เพราะมีมาเกิน 1 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการแก้ไขอย่างครบถ้วนและประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ และที่มากไปกว่านั้นปัญหานี้ได้มีการลุกลามไปถึงแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินที่เป็นปลายทางของแม่น้ำเหล่านี้ มีการพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำโขงถึง 2 เท่า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ไทยไม่ได้ก่อ แต่คนไทยต้องรับกรรม ซึ่งคาดว่าต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน

พรรคประชาชนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับในการดำเนินการ 2 อย่างคู่ขนานกัน 1) ภายในประเทศ ต้องป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่มีต่อพี่น้องประชาชา 2) ในเวทีระหว่างประเทศ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอผ่านเวทีเจรจาระดับนานาชาติ

ภายในประเทศมี 4 ข้อเสนอให้รัฐบาลดำเนินการ คือ 1) ต้องการให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อคงความถี่ในการตรวจสารพิษในแม่น้ำที่ล่าสุดกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) บอกว่าอาจจะลดความถี่ในการตรวจ จากเดิมที่ตรวจ 2 ครั้งต่อเดือน ลดเหลือตรวจ 1 ครั้ง ทุกๆ 2 เดือน

2) รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อตรวจข้าวที่กำลังเก็บเกี่ยวและถูกส่งต่อให้คนไทยบริโภคว่า มีความสุ่มเสี่ยงหรือมีสารปนเปื้อนหรือไม่ 3) รัฐบาลต้องเตรียมการในการหาแหล่งน้ำทดแทนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4) รัฐบาลจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลและมีการสื่อสารกับประชาชนอย่างชัดเจนเพื่อที่ว่าประชาชนจะได้ตระหนักถึงปัญหา และไม่ตระหนกเพราะการที่ไม่เข้าถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการจากภาครัฐ

ในเวทีระหว่างประเทศ เสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเหมืองแร่ที่คาบเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย 2 ข้อเสนอ คือ 1) ไทยต้องรีบเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการประชุมพหุภาคีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และในการประชุมนั้นอย่างน้อยจำเป็นต้องมีทั้งเมียนมา และลาว ที่เป็นประเทศต้นน้ำ และจีนที่ปัจจุบันครองตลาดส่วนใหญ่ของโลก

“เราต้องการใช้เวทีพหุภาคีนี้ในการแลกเปลี่ยนข้อเสนอและสรุปมาตรการที่ต้องดำเนินการ รวมถึงศึกษาร่วมกันว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดได้บ้างเพื่อแก้ปัญหามลพิษจากแหล่งกำเนิดในประทเศนั้นๆ”

2) เมื่อนายกฯ ปัจจุบันอยู่จีนก็ควรเร่งหารือกับรัฐบาลจีน เพื่อนัดถกพหุภาคีไทย ลาว เมียนมา จีน โดยอาจจะอ้างถึงกลไก LMEC (กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างด้านสิ่งแวดล้อม) เกี่ยวกับการจัดการมลพิษในแม่น้ำซึ่งจีนก็มีส่วนร่วมอยู่แล้ว รวมถึงหารือกับรัฐบาลจีนต่อการบังคับใช้กฎระเบียบการบริหารจัดการและตรวจสอบห่วงโซ่การทำเหมืองเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น หากรัฐบาลรักชาติจริง รัฐบาลต้องทำงานหนักว่านี้ในการปกป้องแม่น้ำและทรัพยากรของชาติที่กำลังถูกคุกคามจากมลพิษและปล่อยให้ไหลจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยแลบะกำลังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของคนไทย

อนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันรัฐบาลไม่ปรับค่ามาตรฐานสารหนู จาก 0.01 มก./ล.เป็น 0.05 มก./ล. ตามที่ปรารกฎเป็นข่าว
(https://www.igreenstory.co/environment-65/)

Related posts

16 พ.ย. ‘วันพิทักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก’

ไม่ลดมาตรฐาน ‘สารหนู’ ยัน 0.01 มก./ล. คงเดิม พร้อมเข้มกฎสิ่งแวดล้อม

สุชาติ สั่งเจรจา ‘COP30’ เน้นถ่ายโอนเงิน-เทคนิค รับมือโลกร้อน