ปชน.ถล่มไม่แก้ ‘สารหนู’ ปนเปื้อนแม่น้ำกกจากการทำเหมืองในเมียนมา

แม่น้ำกก ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ฟาดรัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ สารหนู ปนเปื้อนแม่น้ำจากเหมืองในเมียนมา ไม่ไว้ใจ “สุชาติ ชมกลิ่น” แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5

ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาล เรื่องมลพิษทางน้ำข้ามแดนและมลพิษทางอากาศ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. โดยระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องวางแนวทางจัดการปัญหานี้อย่างละเอียดในช่วงเวลสา 4 เดือนนี้ เพื่อลดผลกระทบและป้องกันผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

“แต่จากใบหน้าที่คุ้นเคยจากหลายคนในหลายกระทรวงที่มาจากรัฐบาลชุดที่แล้วและคำแถลงนโยบายเล่มนี้ อดไม่ได้ที่รัฐบาลชุดนี้จะกลายเป็นมลพิษไปเสียเอง”

เขาเริ่มประเด็นแรก มลพิษภาคเหนือในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก และแม่น้ำสาย เป็นมลพิษจากการทำเหมืองแร่ทองคำ และแร่แรเอิร์ธ (Rare Earth) ในเมียนมา น้ำกกไหลเข้ามาทาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ น้ำสายไหลเข้ามาทาง อ.แม่สาย จ.เชียงราย และไปลงน้ำรวก และน้ำรวก น้ำกกก็ไปลงแม่น้ำโขงทางประเทศลาว และจังหวัดในภาคอีสาน

ปัญหานี้ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษได้ตรวจคุณภาพน้ำ 10 ครั้ง พบมลพิษเกินค่ามาตรฐาน เช่น สารหนู ตะกั่ว และแคดเมี่ยม ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่คืบหน้า กังวลจริงๆ ว่าหากรัฐบาลชุดนี้ยังดำเนินการช้าแบบนี้ ปัญหานี้จะใหญ่ขึ้นและลุกลามมากขึ้นแน่นอน เพราะสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนรู้แล้วว่าน้ำเป็นพิษ และไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค ประชาชนรู้แล้วว่าต้องเลี่ยงการกินปลาเพราะในเนื้อปลาและเครื่องในปลาเจอสารปรอท แต่สิ่งที่ประชาชนไม่รู้และไม่มั่นใจเลยคือพืชผลที่มาจากลำน้ำเหล่านี้กินได้จริงๆ หรือไม่

“และจากความไม่รู้ตรงนี้ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรโดนกดราคาพืชผลทางการเกษตรกันกระหน่ำเลย หน่วยงานมาตรวจแล้วก็หาย ส่งผลการตรวจภายในกระทรวงกันเท่านั้นเอง เกษตรกรไม่รู้ผลเลย แต่ที่เกษตรกรกระทบแล้วแน่ๆ แล้วคือ เขาขาดทุนไปแล้วและข้าวนาปี 1 แสนไร่ที่ใช้ลำน้ำเหล่านี้จะออกผลผลิตช่วงเดือน พ.ย.นี้แล้ว ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีมาตรการใดเตรียมการรองรับแม้แต่อย่างเดียว และในการแถลงนโยบายเล่มนี้ก็ไม่มีเลย”

“ข้าวที่ออกมาจะปนเปื้อนไม่ปนเปื้อนเราไม่รู้ ที่รู้แน่ๆ ในตอนนี้ข้าว 1 แสนไร่นี้ไม่สามารถเข้ารับมาตรฐาน GAP (การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี) ได้ ข้าว 1 แสนไร่นี้ไม่สามารถรับมาตรฐานออร์แกนิกไทยแลนด์ได้ เงินทุนที่ชาวนาไปลงทุนเพิ่มเพื่อให้ได้รับมาตรฐานเหล่านี้หายวับไปกับตาโดยที่ไม่มีการเยียวยาอะไรเลย และที่ประชาชนไม่รู้คือการตรวจพบสารตะกั่วปนเปื้อนเกินมาตรฐานในน้ำประปาหมู่บ้าน 6 หมู่บ้านในลุ่มน้ำกก ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ไม่รู้ มารู้พร้อมผมในห้องคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษามลพิษทางน้ำข้ามแดน ที่ผมเป็นประธานอยู่”

ภัทรพงษ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลไม่เปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชน รัฐบาลไม่แม้แต่บูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ปัจจุบันทำงานโดยขอแค่ได้ทำ เช่น โครงการฝายดักตะกอนในแม่น้ำกก 4 จุด 173 ล้านบาท ที่ทำเฉพาะน้ำกกเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงแม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกด้วยซ้ำ โครงการแบบนี้ดักอะไรไม่ได้ แก้อะไรไม่ได้โครงการแบบนี้ ของบฯ มาแล้วแต่ไม่ที่ที่จะไปทิ้งตะกอนที่ปนเปื้อน พูดกันว่าจะนำไปทิ้งในป่าเสื่อมโทรม จากมลพิษในน้ำจะเอาไปกระจายในป่า

สส.เชียงใหม่อภิปรายว่า ปัญหานี้ไม่ได้แก้ที่ต้นตอคือ การเจรจาระหว่างประเทศปัญหานี้ผ่านมาแล้ว 1 ปี ไทยมีการเจรจากับเมียนมาแค่ 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 ก.ค. และอีกครั้งคือ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา และเป็นครั้งเดียวที่เป็นการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีกับรัฐมนตรี แต่ผลที่ออกมาไม่มีอะไรเลย ไม่มีการเปิดภาพถ่ายดาวเทียมการทำเหมือง เมียนมาอ้างว่ามาตรฐานของเรามันต่างกัน โดยเมียนมายึดค่ามาตรฐานสารหนูอยู่ที่ 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ของไทย 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ไทยกลับเข้มงวดไปเอง

เมียนมาก็อ้างต่อว่า ถ้าไทยอยากจะรู้ว่าฝั่งเมียนมาทำเหมืองอะไรก็ให้ไปตรวจสอบสารเคมีที่เป็นสารตั้งต้นในการทำเหมืองที่ไทยส่งออกมาเมียนมาเอง เมื่อลองไปดู ไม่มีแผนการวางลำดับการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหานี้จากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเลย ปัญหานี้หนักและถูกละเลยมานานมาก เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำให้ทันในกรอบระยะเวลา 4 เดือนนี้ แต่กลับไม่มีในการแถลงนโยบายเล่มนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ผมขอถามตรงๆ ไปยังรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการรกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สุชาติ ชมกลิ่น) ที่จะนั่งเป็นประธานบอร์ดคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้วย ท่านไม่คิดจะทำการบ้านหน่อยเหรอครับ ถ้าไม่ทำการบ้านแบบนี้ไม่เป็นไร วันนี้ฟังผมและก็ลอกไปเลย เพราะปัญหานี้มันต้องเร่งรื้อการจัดการใหม่ทั้งหมด

“รัฐบาลที่ผ่านมาหลงทางไป 1 ปีแล้ว ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะหลงทางไปอีก 4 เดือน ปัญหานี้จะวิบัติแน่นอน”

ภัทรพงษ์ เสนอว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำ คือเร่งต้องเร่งบูรณาการข้อมูลร่วมกัน นำข้อมูลมากองและเปิดเผย สามารถนำข้อมูลที่อนุกรรมาธิการทำไว้เป็นเว็บไซต์โดยรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานทำเป็น One map ข้อมูลตรวจน้ำกก สาย รวก โขง ข้อมูลตรวจประปาหมู่บ้าน ตรวจสุขภาพ ตรวจปลา

รวมทั้งภาพถ่ายดาวเทียมการแสดงค่าความขุ่นของลำน้ำ ข้อมูลเพาะปลูกว่าพื้นที่ไหนเพาะปลูกอะไรกี่ไร่อย่างไร และผลการตรวจผลผลิตทางการเกษตรเป็นอย่างไรบ้าง จะช่วยเอาไปยันให้เกษตรกรไม่โดนกดราคาจากตลาดได้ด้วย ถ้าตรวจพบว่าตรงไหนเกินค่ามาตรฐานก็ระบุไปในแผนที่ว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการแก้ไขอะไรอย่างไร จะทำให้หน่วยงานรัฐที่คาบเกี่ยวกันหลายกระทรวงมากๆ ทำงานได้คล่องขึ้น ประชานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้ นอกจากนั้น สถาบันวิจัยต่างๆ มหาวิทยาลัยก็สามารถเข้ามาเสริมฐานข้อมูลตรงนี้โดยที่ไม่ซ้ำซ้อนด้วย

สิ่งที่ต้องเร่งทำต่อมาก็คือ การแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด รื้อโครงการที่ทำก่อนนี้ออก แล้วมาทำโครงการดักตะกอนลำน้ำที่จะไปเข้าพื้นที่เกษตรกรรมและที่จะไปเข้าการประปาส่วนภูมิภาค หรือประปาหมู่บ้าน ตรงนี้จะตอบโจทย์กว่าหลายเท่า

เร่งต่อมา คือ เร่งรื้อแนวทางการเจรจาระหว่างประเทศ ต้องเดินให้ถูกช่อง นั่นคือกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างด้านสิ่งแวดล้อม หรือ LMEC ช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมีจำนวนเหมืองแร่ทองและแร่แรเอิร์ธ เพิ่มขึ้นในเมียนมาเยอะ เพราะจีนสั่งหยุดการทำเหมืองเหล่านี้แล้ว เนื่องจากประชาชนเขาต้องเจอกับน้ำเป็นพิษ

กรณีแรเอิร์ธเป็นที่ทราบทั่วกันอยู่แล้วว่าจีนเป็นประเทศหลักที่ส่งออกแรเอิร์ธอยู่ที่ 80% ของทั้งโลก ซึ่ง Supply chain อยู่ในพื้นที่เมียนมาและส่งออกไปจีนเพื่อส่งออกต่อไปประเทศต่างๆ LMEC เป็นกรอบเดียวที่มีไทย จีน และเมียนมา และเป็นกรอบเดียวที่มีมลพิษทางน้ำ จึงต้องเดินให้ถูกช่อง แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยเดินช่องนี้เลย

ที่ผ่านมาให้ สนทช. (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) เป็นคนเดินในเรื่องนี้ แต่ไปกรอบแรกคือคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขงหรือ MRC ซึ่งไม่มีเมียนมาและจีน เดินไปต่อที่ LMC Water Center ซึ่งก็ไม่มี Action Plan เรื่องมลพิษทางน้ำอีก หลงทางกันไปหลงทางกันมา การแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่เกิดขึ้นเสียที ฉะนั้นรัฐบาลต้องหยุดหลงทางและเดินหน้าให้ถูกทาง LMEC ต้องเดินด้วยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ สนทช.

ภัทรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องชัดเจนและทำทันทีก็คือ ยื่นเสนอวาระเข้าที่ประชุมข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการบริหารจัดการภัยพิบัติที่จะประชุมกันในวันที่ 12-17 ต.ค.นี้ เอาข้อมูลไปกางให้ชัดเจนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเห็นตรงกัน เปิดแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมว่ามีการทำเหมืองอย่างไรบ้างและทำความเข้าใจกับเมียนมาเพิ่มเติมจากงานวิจัยที่เรามีมากมายว่า สารหนูในน้ำกก น้ำสาย เป็นสารหนูอนินทรีย์ เป็นพิษ และพบจากการทำเหมือง

“ทำความเข้าใจกับประเทศสมาชิกตรงนี้ แล้วยื่นเสนอวาระเข้าที่ประชุมต่อมาคือที่ประชุม China-Asian ด้านสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 21-23 ต.ค.นี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกประเทศที่เราต้องการให้เกิดการเจรจาและแก้ปัญหาที่ต้นตอ นี่คือสิ่งที่ต้องทำทันที

ที่สำคัญสิ่งที่ต้องไทยต้องชัดเจนในการประชุมคือ จะให้ประเทศไหนทำอะไร อย่างไร อย่างแรกคือ จีน จีนมีกฎหมาย RareEarth Management ที่ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานการทำเหมืองแร่อยู่แล้ว ให้เขาเปิดออกมาดูว่าแรเอิร์ธที่ทำอยู่ที่รัฐคะฉิ่น รัฐฉาน ตอนที่เขาส่งแร่เข้าประเทศจีนเขาเอาอะไรมายืนยันว่าไม่ได้ปล่อยสารพิษลงแม่น้ำจากการทำเหมือง

“จีนเขาเคลมอยู่แล้วว่าประเทศเขาเป็น Green supply chain หรือห่วงโซ่อุปทานสีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เขาเปิดให้ดู
ในส่วนนี้จะช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอได้มากเลย ไทยต้องชัดเจนและยืนหยัดเพื่อประชาชนคนไทยในเวทีนานาชาติได้แล้ว คนไทยไม่ได้รวยจากการทำเหมืองนี้ คนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ทั้งสุขภาพ ทั้งปากท้องคือคนไทย

“และสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนจากการเจรจากับเมียนมา ก็คือรัฐบาลเมียนมาจะอ้างว่าเขาไม่สามารถเข้าไปจัดการในพื้นที่ของรัฐฉานได้ ตรงนี้เรายิ่งต้องใช้กลไก LMEC ที่มีทั้งไทย จีน และเมียนมาในการเข้าไปตรวจสอบน้ำที่ต้นน้ำและกระบวนการทำเหมืองแร่ ปัญหานี้มันต้องแก้ที่ต้นตอ กาง Supply Chain ออกมา แล้วเอาผิดกับผู้ที่อยู่ในกระบวนการนี้ในกลไกต่างๆ ที่ประเทศเราเป็นสมาชิกต่อไป

“ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการคือ ประชาชนภาคเหนือเราต้องได้แม่น้ำของพวกเราคืนมา”

ถัดมา ภัทรพงษ์ อภิปรายประเด็นมลพิษทางอากาศ เรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งศาลปกครองได้สั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ 5 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ในส่วนนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจใหม่และปรับแนวคิดตรงนี้ การประกาศเขตควบคุมมลพิษต้องประกาศตามขอบเขตของปัญหา อ้างอิงจากแหล่งกำเนิด ไม่ใช่ประกาศแค่คำสั่งศาลเพียงอย่างเดียว

“ผมขอปรับเขตควบคุมมลพิษออกเป็น 3 เขต คือ เขตที่ 1 ปรับเป็นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพราะแค่ กทม.อย่างเดียวแก้ปัญหานี้ไม่ได้ และใช้อำนาจตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้กลุ่มจังหวัดในเขตนี้มาวางแผนขจัดและลดมลพิษทางอากาศร่วมกัน”

อย่างแรกคือ ภาคคมนาคม โดยทำ Low Emission เป็นหลายๆ ชั้น อ้างอิงความเข้มข้นของมาตรการตามข้อมูลมลพิษทางอากาศย้อนหลัง 5 ปี ในพื้นที่นี้

ต่อมาภาคอุตสาหกรรม เราไม่สามารถกำหนดมาตรฐานทั่วไป ที่เราใช้กับโรงงานอื่นในเขตควบคุมมลพิษที่มีมลพิษสูงมากๆ เป็นทุนเดิม ในจังหวัดกลุ่มนี้ก็ใช้อำนาจตาม พ.ร.บสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่แล้วในการออกมาตรฐานการปล่อยมลพิษทางอากาศเฉพาะให้เข้มงวดขึ้นด้วย แล้วดำเนินการคู่กัน

“อย่างที่เคยได้อภิปรายเสนอไปแล้วในสภากับรัฐบาลชุดที่แล้ว คือต้องทำงานวิจัยร่วมกับจีน นำ Hyperspectral UAV Imaging Remote Sensing มาบินในช่วงเวลาวิกฤตทำให้เห็นว่าพื้นที่ไหน โรงงานอะไร ถนนเส้นไหน มีมลพิษอะไรเท่าไหร่ ทำให้เราสามารถจัดการปัญหาที่ต้นตอ เอาผิดกับผู้ก่อมลพิษ และใช้ฐานข้อมูลตรงนี้ไปพัฒนาแผนในการแก้ปัญหา PM2.5 ให้เข้มข้นขึ้นด้วย”

สส.พรรคประชาชน อภิปรายประเด็นการเผาภาคเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง ประกอบด้วย เพชรบูรณ์ ลพบุรี และนครสวรรค์ ที่ต้องพัฒนาแผนในการแก้ปัญหา PM2.5 ให้เข้มข้นขึ้น ด้วย 3 จังหวัดนี้มีการเผาไหม้พื้นที่การเกษตรมากที่สุด 4 เดือนนี้ต้องเตรียมรับมือการเผาข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อย

ข้อมูลเฉพาะอ้อยมีพื้นที่ปลูกอ้อยซ้อนกับพื้นที่เผาจากข้อมูลจิสด้าในเดือน พ.ย. 2567- ก.พ. 2568 พบว่า พื้นที่เผาอ้อยทั่วประเทศอยู่ที่ 2.8 ล้านไร่ กระจุกอยู่ที่ 3 จังหวัดนี้ 1.6 ล้านไร่ พื้นที่นี้จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นโมเดลในการลดการเผาภาคการเกษตรใน 4 เดือนนี้

ทั้งนี้ จะต้องนำมาตรการการสนับสนุนไม่เผา 120 บาทต่อไร่ และต้องเคาะภายในเดือน ต.ค. ช้าไม่ได้ ให้เกษตรกรวางแผนต้นทุนเขาได้ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ไม่ต้องนำมาตรการปีที่แล้ว 69+51 บาท ให้จ่าย 120 บาทเข้าตรงเกษตรกร แต่เพิ่มเงื่อนไขการเผาทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว การส่งอ้อยสดส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานนับอะไรไม่ได้ เพราะถึงเป็นอ้อยสดก็เผาซากอ้อยทีหลังอยู่ดี

นอกจากนั้น ต้องสนับสนุนเอกชนในการค้ำประกันสินเชื่อให้เขาสามารถขยายกิจการในการเพิ่มเครื่องจักรในการย่อยสลายและฝังกลบซากอ้อยให้เพิ่มขึ้นตามพื้นที่การปลูกอ้อยที่เยอะมากในประเทศไทย

ทั้งนี้ ให้นำมาตรการนี้มาใช้กับการปลูกข้าว โดยการสนับสนุนเอกชนเรื่องเครื่องตีดินมาปั่นฟางและตอซัง นำไปปั่นในดินแทนการเผาและเพิ่มการสนับสนุนงานวิจัยในการย่อยสลายจุลินทรีย์ให้ย่อยสลายได้ภายใน 3-5 วัน แล้วเปลี่ยนฟางให้เป็นเงินเป็นรายได้ ทำเป็นฟ่อนให้เกษตรกรขายมีรายได้ไร่ละ 300-400 บาท ส่วนนี้ช่วยลดการเผาภาคเกษตรและสร้างรายได้ให้เกษตรกรไปในตัวด้วย

ประเด็นต่อมาคือการแก้ปัญหาไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ เขาระบุว่า จากการอภิปรายงบประมาณปี 2569 วาระแรก ชัดเจนว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่เพียงพอ ต้องเติมงบกลางให้กับหน่วยงานและปลดล็อกสเปกท้องถิ่นให้เขาซื้อในสิ่งที่ต้องการตามสภาพพื้นที่ได้ และต้องทำให้เสร็จในเดือน ต.ค. เช่นกัน เพราะรัฐมนตรีปีที่แล้วทราบดีว่างบกลางไฟป่าเข้า ครม.สิ้นเดือน พ.ย.กว่าจะคลอดออกมาสิ้นเดือน ม.ค. ซึ่งซื้อของไม่ทัน

หลังจากนั้นต้องปรับระเบียบเรื่องค่าตอบแทนคนดับไฟ ปัจจุบัน อพปร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) ดับไฟไป 4 ชม.ได้ไม่ถึง 100 บาท มากกว่า 4 ชม. ไม่เกิน 8 ชม. ได้ 200 บาท มากกว่า 8 ชม. ได้ 300 บาท หนักไปกว่านั้นไม่ใช่ อพปร. เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือบุคคลภายนอก ต้องดัดแปลงระเบียบราชการการเดินทางไปราชการมาใช้ ดับไฟไม่ถึง 12 ชม. ได้ 120 บาท มากกว่า 12 ชม. ได้ 240 บาท ถือว่าน้อยมากๆ

“จึงขอถามรัฐบาลชุดนี้ว่าจะปรับหรือร่างระเบียบตรงนี้ใหม่หรือไม่ อย่างไร และปรับเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ขอถามนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะตอนนั้นก็เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยมาปีกว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงยังไม่ทำ”

สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายเรื่องการห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากการเผา โดยบอกว่า ได้พูดเรื่องนี้ทุกปีตั้งแต่เป็น สส. ครั้งแรก เมื่อปี 2566 แต่ไม่ทำกันสักที เพิ่งมาเขียนในคำแถลงนโยบายตอนนี้ รู้หรือไม่ว่านายทุนไปเปิดโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน และรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เองแล้ว

“ไม่ต้องมาอ้างว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะกระทรวงพาณิชย์ในตอนนั้นก็มีรัฐมนตรีในสังกัดกระทรวงนั้นอยู่ในพรรคของคุณอนุทิน รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตอนนี้ ในตอนนั้นก็เคยสังกัดกระทรวงพาณิชย์เช่นกัน

“ในวันนี้ต้องการคำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4 เดือนนี้จะวางกรอบห้ามนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่มีที่มาจากการเผาอย่างไร มีการตรวจสอบย้อนกลับและตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของผู้ประกอบการไทยที่นำเข้ามาอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ประกอบการสัญชาติไทยที่ไปเปิดโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เผาในประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่งออกไปต่างประเทศ

“แม้จะไม่นำเข้ามาในไทยเลย แต่เป็นการเผาแล้วฝุ่นก็ลอยเข้ามาในประเทศเราอยู่ดี ตอนนี้มันชัดเจนว่า ที่รัฐบาลถ่วงเวลาไม่ห้ามนำเข้าเพราะว่ารอให้นายทุนไปสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านให้เสร็จก่อน แล้วมาประกาศเอาจริงจังในตอนนี้”

ภัทรพงษ์ อภิปรายสรุป 4 เดือนนี้มีความสำคัญมากในการแก้ปัญหามลพิษทางน้ำจากการทำเหมืองในเมียนมา และมลพิษทางอากาศฝุ่นพิษ PM2.5 จากข้างในและต่างประเทศ “ขอเสนอไทม์ไลน์ (ขึ้นชาร์ตในห้องประชุม) แม้ว่าในวันนี้ผมจะไม่มีความไว้ใจ ไม่มีความเชื่อใจ และไม่มีความสบายใจที่มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ชื่อ สุชาติ ชมกลิ่น แม้แต่นิดเดียว แต่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการและจะติดตามการทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างใกล้ชิด และหวังว่าท่านจะเข้ามาทำงานอย่างจริงจังเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษ ไม่ได้เข้ามาเป็นมลพิษให้กับประเทศไทยเสียเอง”

Related posts

รวมพลังจิตอาสา ‘ซีแอนด์จี makeover’ โรงเรียนชวดบัว นครนายก

ศูนย์ราชการฯ ดันสู่เมืองอัจฉริยะสีเขียว เพิ่ม ‘รถไฟฟ้า’ 12 คัน บริการฟรี

เจอ ‘ไมโครพลาสติก’ ในกระดูกมนุษย์ เสี่ยงกระดูกพรุน-แตกหักมากขึ้น