คอนเซ็ปต์ของ Villa Pateh โรงแรมบูทีคเล็กๆ แห่งสิเกา ตั้งใจขายประสบการณ์ให้แขกที่มาพักรู้สึกเหมือนมาบ้านเพื่อนสนิท มาสัมผัสวิถีชุมชนดั้งเดิม
“Villa Pateh” (วิลล่า ปาเธ) เป็นส่วนเติมเต็ม “สิเกา” หนึ่งในอำเภอชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตรังให้มีมนต์เสน่ห์ได้อย่างลงตัว
โปรเจกต์โรงแรมบูทีคเล็กๆ แห่งนี้ใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะเข้ารูปเข้ารอย เพราะ “เวศ” ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการแนะนำตัวเองและสร้างความคุ้ยเคยกับชาวบ้าน “บ้านหัวหิน” ซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิมที่อาศัยอยู่รายรอบ Villa Pateh นั่นเอง
จุดเริ่มต้นจึงไม่ใช่การขบคิดเกี่ยวกับการดีไซน์ แต่มุ่งความสำคัญสูงสุดไปยังชุมชน ซึ่ง “เวศ” และหุ้นส่วนของเขาต้องการดึงเสน่ห์วิถีชุมชนดั้งเดิมมาเป็นจุดขายของโรงแรมบูทีคแห่งสิเกา ในขณะที่การรังสรรค์ตัวอาคารตามดีไซน์ที่ตั้งใจไว้บนพื้นที่ 1.5 ไร่ (พื้นที่หมด 3 ไร่กว่า) ใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่ง
คำว่า “ปาเธ” แปลว่า ขุนนาง “วิลลา ปาเธ” จึงหมายถึง บ้านของขุนนาง ที่นี่มีห้องพัก 4 แบบให้เลือก รวมทั้งหมดแค่ 7 ห้อง ทุกห้องดูโปร่ง โล่ง สบาย สอดรับกับบรรยากาศการผ่อนคลายริมทะเล “ เวศ” ได้ อาจารย์ขิง-วรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์ สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านการทำโรงแรมขนาดเล็ก และ อาจารย์โอภาส ลิมปิอังคนันต์ ที่ปรึกษาผู้ประกอบการ Design Hotel มาร่วมกันปลุกปั้นโปรเจกต์นี้ขึ้น
Villa Pateh เป็นฝันร่วมกันของสามเพื่อนซี้ “เวศ” – ประเวศ มณีศิริ หนุ่มห้าวน้ำเสียงฉะฉานจากสระบุรี, “ไบรท์” -จตุพล พูลภักดี เพื่อนสนิทชาวตรังเจ้าของร้านเค้กท่าปาบ เบเกอรี่ของฝากยอดนิยมแห่งเมืองหมูย่าง และ “กิก” – วุฒชัย จินดาประชา เพื่อนคนเหนือชาวสุโขทัย
ทั้งสามต่างมากันคนละทิศ แต่โคจรมาพบกันที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งผูกพันกันมากว่า 20 ปี
#เสน่ห์เมืองตรังชีวิตที่ไม่รีบเร่ง
ด้วยเดินทางมาเที่ยวตรังบ่อย ทำให้ “เวศ” หลงเสน่ห์เมืองพระยารัษฎาฯ เข้าอย่างจัง…(เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) จังหวัดที่มีวัฒนธรรมอาหารการกินที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว (ว่ากันว่ามาตรังต้องกิน 9 มื้อ) ที่นี่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับความยุ่งเหยิงของมหานคร วิถีชีวิตเมืองที่ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่รู้จักคำว่าการแย่งเบียดพื้นที่พาตัวเองออกจากบ้านไปยังที่หมาย และก็มองไม่เห็นมุมแออัดจอแจไปด้วยผู้คน (ถ้าจะมีก็คงเป็นตลาดสด)
ทว่า..ตรังผลิตพื้นที่สงบ ร่มรื่น ตั้งสง่าลงบนโลเคชันที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิศาสตร์ชายฝั่งอันดามันบริเวณช่องแคบมะละกา (Strait of Malacca) ลักษณะกายภาพของที่นี่มีเขตภูเขาและเชิงเขา เขตลอนลูกฟูกหินปูน เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำ และเขตชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวราว 119 กิโลเมตร มีเกาะนอกชายฝั่งประมาณ 54 เกาะ ผู้ดื่มด่ำหาดทรายสายลมคงคุ้นเคยชื่อ เกาะกระดาน, เกาะมุก, เกาะลิบง, เกาะไหง, เกาะเชือก, เกาะแหวน, เกาะเหลาเหลียง และเกาะสุกร
ตรังเป็น 1 ใน 4 จังหวัดที่มีเทือกเขาบรรทัด (Banthat Range) พาดยาวทางด้านทิศตะวันออก มองจากมุมสูงจะเห็นแนวเทือกเขาเหนือ–ใต้ ที่ครอบคลุมพื้นที่พัทลุง ตรัง สตูล และสงขลา ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่ในตรังเป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไป (Undulating Hills) กระจายอยู่ในหลายอำเภอ และไม่แบนเป็นที่ราบขนาดกว้าง – ที่นี่จึงมีความแตกต่างทางกายภาพที่โดดเด่น – ชวนให้นึกถึงบางมุมของเมือง Sonoma, Santa Barbara และ Central Coast ในแคลิฟอร์เนีย
ในฐานะคนทำคอนเทนต์สายกรีน เราไม่ได้สนใจ Villa Pateh ในฐานะสถานที่น่าไปพักตามคำชักชวนของ “เวศ” เพียงอย่างเดียว แต่อยากมาเยือน “สิเกา” ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองที่สื่อความหมายถึงพื้นที่ลักษณะเหมือน “ลูกคลื่น” ที่ผสมผสานระหว่างภูเขา เนินเขา ที่ราบลุ่ม อุทยานแห่งชาติ ป่าชายเลน ชายฝั่งทะเล และพื้นที่เกาะแก่งจำนวนมาก คล้ายๆ กับในหลายอำเภอของตรัง ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึง “เมืองทับเที่ยง” ที่มีเวทมนต์บางอย่างซุกซ่อนอยู่
มาถึงตรังไม่ใช่แค่มากินหมูย่าง แต่ต้องมาสัมผัสความคลาสิกของอาคารย่านต่างๆ โดยเฉพาะการคงอยู่ของสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese) ในตัวเมือง ที่ไม่ถูกบดขยี้จากคลื่นการพัฒนาอย่างเหิมเกริม จึงยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนและทัดทานการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งไว้ได้ แม้ปัจจุบันนโยบายการพัฒนาพื้นที่สาธารณะในบางจุดหรือแลนด์มาร์กของจังหวัดตรังจะถูกลดทอนคุณค่าด้านทัศนียภาพให้ดูด้อยลงจากที่ควรจะเป็น แต่ก็ยังอนุรักษ์ความแตกต่างจากหัวเมืองใหญ่ทางเศรษฐกิจบางแห่งที่ศูนย์กลางความดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายลงจนขาดเสน่ห์
#ไปเที่ยวไปปลูกหญ้าทะเลกัน
ในแง่การท่องเที่ยว – โฟกัสไปที่การเดินทางไปยังสิเกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม คุณจะหลงไหลชายหาดปากเมง หาดฉางหลาง หาดยาว หาดหยงหลิง หาดเจ้าไหม ฯลฯ ที่มีเม็ดทรายขาวนวลเรียงยาวไปตลอดชายฝั่งกว่า 20 กิโลเมตร
ในยามเย็นมีทิวสนทะเลตามธรรมชาติที่งามเตะตาคอยเป็นเพื่อนลาลับขอบฟ้าของตะวัน สายกรีนอย่างเราไม่พลาดที่จะมุ่งความสนใจไปยัง “เกาะป่าโกงกางรูปหัวใจ” อันซีนแห่งบ้านน้ำราบ รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมปลูกหญ้าทะเล แหล่งอนุรักษ์ความอยู่รอดของพะยูน (Dugong) ซึ่งเป็นดินแดนแห่งพะยูนฝูงสุดท้าย โดยปัจจุบันแหล่งอาหารพวกมันลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย และทำให้พะยูนตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ (ทริปหน้าจะมาเล่าให้ฟัง)
ตรังยังมีเกาะแก่งท้าทายนักเดินทางอีกเพียบ หากหัวใจของคุณหลงใหลในเสน่ห์ของอันดามัน ทะเลตรังคือจุดหมายที่ไม่ทำให้ใครผิดหวัง ทั้งเวิ้งน้ำใส หมู่เกาะเงียบสงบ และธรรมชาติที่ยังเต้นตามจังหวะของตัวเอง..ยิ่งถ้ามีโอกาสไปเดินย่ำละเลียดผืนทรายที่เกาะไหง ปล่อยใจให้ล่องไปกับเสียงคลื่นและแสงแดดอุ่นละมุน—ความประทับใจนั้นจะติดตรึงอยู่ในใจอย่างไม่ต้องสงสัย – ลงเครื่องแล้วแหนหน้ามองฟ้า..มุ่งหน้าออกจากตัวเมือง ขับยาวๆ แค่ 40 กิโลเมตรหน่อยๆ ก็ถึงจุดหมายแล้ว
#มนต์เสน่ห์ชุมชนบ้านหัวหิน
ด้วยประสบการณ์ที่เดินย่ำต้องมนต์เมืองตรังมาหลายปีของ “เวศ” และเพื่อนสนิททั้งสอง จึงเป็นที่มาของ Villa Pateh ณ บ้านหัวหิน ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา ด้วยอยากให้ทุกคนมายลวิถีแห่งอันดามันอันงดงามอย่างที่พวกเขาเห็น
ใช่จริงๆ ด้วย – แว่บแรกที่มาถึง เรากวาดสายตาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้น พร้อมๆ กับมองเห็น “เวศ” กำลังสาละวนอยู่กับผู้มาเยือนก่อนหน้า เราเดินชมห้องพัก และสถานที่โดยรอบท่ามกลางแดดร้อนยามบ่าย ระหว่างเดินไปแนะนำไป คีย์แมสเสจจาก “เวศ” แจ่มชัด เขาตั้งใจดึงเสน่ห์ของชุมชนบ้านหัวหินมาถ่ายทอดผ่านเมนูอาหารและเชื่อมร้อยกิจกรรมร่วมกันระหว่างแขกผู้มาเยือนกับวิถีชุมชน
ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อปการทำว่าวท้องถิ่น, ข้าวยำสูตรไม่ใช้น้ำบูดู, การสานเตยปาหนัน, วิถีประมงพื้นบ้าน, การแสดงลิเกป่าผสมหนังตะลุงริมหาด ไปจนถึงทริปล่องเรือไปฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล ฯลฯ – ทั้งหมดนี้..แขกผู้มาเยือน Villa Pateh จะได้สัมผัสในทุกมิติกันฉ่ำๆ
“เวศ” อยากให้ทุกคนคิดว่า การมาเยือน Villa Pateh คือ มานอน “บ้านเพื่อนสนิท” มากกว่าจ่ายตังส์มาพักโรงแรมหรู บ้านหลังนี้พวกเขาได้แรงบันดาลใจการดีไซน์จาก เจฟฟรีย์ บาวา (Geoffrey Bawa) สถาปนิกชาวศรีลังกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมแบบทรอปิคอลโมเดิร์น (Tropical Modern) และได้ไอเดียจากที่พำนักของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังคนแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของสถาปัตยกรรมตะวันตกในจังหวัดตรัง ที่ผสมความโปร่ง โล่ง และเหมาะกับสภาพอากาศชายฝั่ง
Villa Pateh เป็นอาคาร 5 หลัง ปลูกล้อมสระว่ายน้ำที่ทอดยาวอยู่ตรงกลาง ทุกหลังใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ รวมถึงมีองค์ประกอบของโครงสร้างที่เป็นไม้ ทำให้ดูอบอุ่น ทางทิศตะวันตกของโรงแรมมีสะพานเล็กๆ ให้เดินมุ่งหน้าฝ่าดงป่าโกงกางย่อมๆ ออกไปสูดไออุ่นจากทะเลบริเวณริมชายหาด
ชื่อของ Villa Pateh (อ่านออกเสียงว่า – วิล-ล่า-ปา-เธ) มีรากศัพท์จากภาษามลายู หมายถึง ขุนนาง รวมถึงชื่อห้องแต่ละห้อง อย่างห้อง Ratu (ราตู) แปลว่า เจ้าเมือง เป็นห้องแฟมิลี่ขนาด 4 คนพัก ห้อง Raden (ระเด่น) แปลว่า เจ้าชาย มีเตียงขนาดใหญ่ วิวสวนหย่อม มีอ่างอาบน้ำ ห้อง Inu (อินู) แปลว่า หลานชาย มีเตียง 2 ชั้น เหมาะสำหรับเพื่อน และครอบครัว
ไฮไลต์สุดๆ ของที่นี่ สายที่หลงใหลในรสชาติอาหารต้องไม่พลาดกับการละเลียดความอร่อยที่ห้องอาหาร Bulann Rati (บุหลันระตี) ที่พร้อมเสิร์ฟความประณีตจากวัตถุดิบท้องถิ่นอย่างละเมียดละไม ซึ่งชื่อห้องอาหารแห่งนี้ก็มีที่มาเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นด้วยเช่นเดียวกัน “โต๊ะครูที่มาปัดเป่าสิ่งต่างๆ ให้ แกบอกสมัยก่อนในคืนพระจันทร์เต็มดวงมีปูดำในบริเวณนี้เต็มไปหมด เราอยากให้ภาพนั้นยังคงอยู่ ก็เลยตั้งชื่อ บุหลันระตี ที่แปลว่า ดวงเดือน
“เราตั้งใจจะอนุรักษ์ปูดำ หรือมีชื่อเรียกว่า ‘หมัดแคบ’ ให้กลับมา จึงมีบ่อเลี้ยงเพื่อปล่อยปูดำลงสู่ระบบนิเวศบริเวณป่าโกงกางติดกับโรงแรม ซึ่งเดิมทีเป็นป่าเสื่อมโทรมทั้งจากการกัดเซาะและไม่ได้รับการดูแล ต่อมาพยายามฟื้นฟู เนื่องจากมีพืชเอเลี่ยนอยู่ในพื้นที่ เช่น สนที่เป็นพืชต่างถิ่น ใบของมันทำให้ป่ามันพัง เราจะทำให้ปูมันกลับมาเหมือนภาพที่โต๊ะครูเล่า” เวศ อธิบาย
อาหารแต่ละเมนูของบุหลันระตีที่ “เวศ” และ “กิก” (เพิ่งลงด่วนจี๋จากสุโขทัยมาช่วยต้อนรับแขกช่วงนี้เป็นการเฉพาะ) คอยแนะนำแขกแต่ละโต๊ะ มีที่มาและความโดดเด่นเฉพาะตัว อย่างเมนู เหงียนปลาทราย เป็นชื่อเรียกในภาษาถิ่น ซึ่งก็คือ ซาซิมิปลาทราย กินคู่กับน้ำพริกปลาทรายรสเผ็ดร้อนผสมหวานนิดๆ ลงตัวมากๆ…เราที่ได้ลองครั้งแรกถึงกับใช้คำว่า..ว้าวมาก
เมนูที่บรรดาแขกในค่ำคืนนั้นลุกจากโต๊ะมายืนมุง “จ๊ะไก่” ทำข้าวยำปักษ์ใต้สูตรพิเศษที่ใช้กะทิและเนื้อปลามาเป็นวัตถุดิบปรุงน้ำยำ คล้ายๆ การทำน้ำยาขนมจีน แต่ไม่ใช้น้ำบูดูเหมือนฝั่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องบอกว่า…รสชาติหอมอร่อย…อันนี้ทึ่งจริง ในขณะที่วัตถุดิบประเภทอาหารทะเลไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกอย่างมาจากประมงพื้นบ้านของชุมชน…สดทุกเมนูแน่นอน
ที่นี่คือ_บ้านเพื่อน
“โจทก์ของเราคือ ขายประสบการณ์ ไม่ได้ขายบ้าน ไม่ได้ขายโรงแรม เวลาไปบ้านเพื่อน บ้านเพื่อนสวยก็อยากจะไป ถ้าบ้านเพื่อนสนุกก็อยากจะไป บ้านนี้เพื่อนสนิทก็คือ ‘ชุมชน’ ซึ่งมีเรื่องราวให้ทุกคนที่มาได้สัมผัสด้วยตัวเองเยอะไปหมด” เวศ เล่าขณะพาเราเดินชมห้องพัก และบริเวณโดยรอบ
“เราไม่ได้เป็นโรงแรมที่มาพักแล้วกลับบ้าน เราต้องการขายประสบการณ์ คุณต้องอยู่กับชุมชน คุณมาพักที่นี่คุณต้องสัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชน ในบางช่วงบางฤดูกาลจะมีการละเล่นของเด็กนักเรียนและตัวแทนชุมชน เช่น การเล่นลิเกป่าและหนังตะลุงอยู่ในเรื่องเดียวกัน ซึ่งมีที่แรกที่เดียวที่บ้านหัวหิน อำเภอสิเกา
“เราจะจัดกิจกรรมเหล่านี้ริมทะเลให้กับแขกที่มาพักได้ชม ขึ้นอยู่กับจำนวนแขกในช่วงนั้นๆ นอกจากนั้นก็มีเวิร์กช็อปสารเตยปาหนัน ซึ่งอุปกรณ์หลายชิ้นที่ใช้ในห้องพักทั้งหมดก็ทำมาจากเตยปาหนันที่นี่ทั้งหมด ทำให้คนในชุมชนมีอาชีพด้วย พนักงานที่นี่กว่า 80% ก็เป็นคนในชุมชน อาหารบางเมนูอย่างข้าวยำที่ไม่ได้ทำจากน้ำบูดูก็มีให้กินที่นี่ ที่นี่ไม่ได้ให้มาถ่ายรูปกิ๊บเก๋ แต่เป้าหมายเราคือ การสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน” นี่คือ คอนเซ็ปต์และเรื่องราวของ Villa Pateh จากปากของเวศ
Villa Pateh ได้เปิดตัว Soft Opening มาพักใหญ่ โดยมีกำหนด Grand Opening อย่างเป็นทางการ 1 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้
นอนจนอิ่ม…ตามด้วยอาหารเช้าในช่วงสายของอีกวัน…”เวศ” ออกเดินทางไปโปรโมทโรงแรมที่ปีนังแต่เช้า “น้องโก”….วิ่งมามอบว่าวใส่กล่องเป็นของขวัญ งานฝีมือจากสิเกาที่สะท้อนความประณีต พร้อมรอยยิ้มความจริงใจ – ไมตรี และความอบอวนของทริปนี้คงโน้มนำเราให้มาเยือน Villa Pateh แห่งสิเกา และเมืองอันสงบร่มรื่นชายฝั่งอันดามันอีกครั้งในเร็ววัน
สอบถามข้อมูล Villa Pateh ได้ที่ https://www.facebook.com/villapateh และ https://www.villapateh.com/