สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยข้อมูลไทยติดอันดับ 4 ผู้นำเข้าถั่วเหลืองโลก มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี แนะภาครัฐและเกษตรกรเร่งปรับตัวสู่ “ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ” (Low Carbon Soybeans) เพื่อทลายกำแพงการค้าสิ่งแวดล้อม และยกระดับสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดพรีเมียม
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองในระดับสูงมาก โดยข้อมูลปี 2567 พบว่าความต้องการบริโภคในประเทศพุ่งสูงถึง 3.89 ล้านตัน (ขยายตัว 18%) ขณะที่การผลิตในประเทศกลับหดตัวลง 4% เหลือเพียง 16,155 ตัน
เปิดตัวเลขความต้องการพุ่ง แต่ผลิตเองได้เพียงหยิบมือ
ช่องว่างที่มหาศาลนี้ทำให้ไทยต้องนำเข้าถั่วเหลืองมูลค่าสูงถึง 1,929.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อป้อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ น้ำมันพืช และการแปรรูปอาหาร โดยมีแหล่งนำเข้าหลักคือ บราซิล (86%) และสหรัฐอเมริกา (12%) ในเวทีโลก ไทยมีสถานะเป็นผู้นำเข้าอันดับที่ 4 (สัดส่วน 2.3%) รองจากมหาอำนาจอย่างจีน (61%) ท่ามกลางมูลค่าการค้าถั่วเหลืองโลกที่สูงถึง 85,965.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเทรนด์สุขภาพ อาหาร Plant-Based และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
“ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ” อาวุธใหม่สู้กำแพงการค้า
สนค. ระบุว่าไทยกำลังเผชิญกับ “กำแพงการค้า” รูปแบบใหม่ โดยเฉพาะกฎระเบียบ EU Deforestation Regulation (EUDR) ของสหภาพยุโรป ที่เน้นการตรวจสอบย้อนกลับว่าสินค้าต้องไม่มาจากพื้นที่บุกรุกป่า ดังนั้น ทางออกของไทยจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มปริมาณผลผลิตเพื่อแข่งเรื่องต้นทุนกับรายใหญ่ แต่ต้องมุ่งไปที่ “ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ” (Low Carbon Soybeans)
หัวใจสำคัญของถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ:
- กระบวนการผลิต: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน
- เทคนิคการเกษตร: ใช้เมล็ดพันธุ์ดี, ปุ๋ยอินทรีย์, การปลูกพืชคลุมดิน, การไม่ไถพรวน (No-Till) และเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
- ผลลัพธ์: สหรัฐฯ ต้นแบบการผลิตสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 13% – 25% และได้รับการรับรองมาตรฐาน SSAP ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดญี่ปุ่นและยุโรป
ยุทธศาสตร์ “พลิกวิธีคิด” และการสร้าง Sandbox คาร์บอนเครดิต
นายนันทพงษ์ฯ กล่าวสรุปว่า ถึงเวลาที่เกษตรกรไทยต้องเปลี่ยนจากการแข่งด้าน “ปริมาณและราคา” ไปสู่การแข่งด้าน “คุณภาพและความยั่งยืน” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเจาะตลาดพรีเมียม ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารสอดรับกับเศรษฐกิจสีเขียว
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” (Accelerator) ผ่านนโยบายเชิงรุก อาทิ:
- Soybean Carbon-Credit Sandbox: พื้นที่นำร่องการค้าถั่วเหลืองคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ผู้ประกอบการขายคาร์บอนที่ลดได้ควบคู่ไปกับผลผลิต
- การเปลี่ยนต้นทุนเป็นรายได้: เปลี่ยนงบประมาณที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการให้กลายเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหม่
“นี่คือการพลิกเกมที่แท้จริง ซึ่งจะเปลี่ยนสินค้าเกษตรทั่วไปให้กลายเป็นอาวุธสำคัญในเวทีโลก และสร้างความได้เปรียบอย่างยั่งยืนให้กับถั่วเหลืองไทย” ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้าย