ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยี AI มีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการทำงาน แต่ใครจะคิดว่า เทคโนโลยีสุดล้ำ จะนำมาซึ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลระบุ ในรอบ 3 ปี ทำคาร์บอนพุ่ง 150%
รายงาน Greening Digital Companies 2025 โดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และ World Benchmarking Alliance (WBA) ร่วมกับข้อมูลจากหน่วยงานดิจิทัลของสหประชาชาติ เผยว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 150% โดยเฉลี่ยระหว่างปี 2020 ถึง 2023 สาเหตุหลักมาจากการลงทุนมหาศาลในปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการขยายตัวของศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มความต้องการพลังงานไฟฟ้าทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
การปล่อยก๊าซจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี
จากการวิเคราะห์บริษัทดิจิทัลชั้นนำ 200 แห่ง รายงานระบุว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 1 (จากการดำเนินงานโดยตรง) และขอบเขต 2 (จากการใช้พลังงานที่ซื้อ เช่น ไฟฟ้า ความร้อน และความเย็น) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในบริษัทที่เน้นพัฒนา AI ได้แก่:
- Amazon มีการปล่อยก๊าซเพิ่มสูงสุดถึง 182% ในช่วงปี 2020-2023
- Microsoft เพิ่มขึ้น 155%
- Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) เพิ่มขึ้น 145%
- Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) เพิ่มขึ้น 138%
การเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความต้องการพลังงานอย่างเข้มข้นของศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อน AI และบริการประมวลผลบนคลาวด์ ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเทคโนโลยี
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
ในปี 2023 บริษัทดิจิทัล 166 แห่งที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซ มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อย CO₂ เทียบเท่า 297 ล้านตัน หรือ 0.8% ของการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซรวมของอาร์เจนตินา โบลิเวีย และชิลี นอกจากนี้ บริษัท 164 แห่งที่รายงานการใช้ไฟฟ้าใช้พลังงานรวม 581 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh) หรือ 2.1% ของความต้องการไฟฟ้าโลก โดย 10 บริษัทชั้นนำ เช่น Amazon, Alphabet, Microsoft, Meta, China Mobile, Samsung Electronics, China Telecom, TSMC, China Unicom และ SK Hynix คิดเป็น 51.9% ของการใช้ไฟฟ้านี้
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2023 อยู่ที่ 415 TWh หรือ 1.5% ของความต้องการไฟฟ้าโลก และเติบโต 12% ต่อปีตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 4 เท่า หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป คาดว่าความต้องการไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลจะพุ่งถึง 945 TWh ภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าประจำปีของญี่ปุ่น
AI: ดาบสองคมของนวัตกรรม
Doreen Bogdan-Martin เลขาธิการ ITU กล่าวว่า “ความก้าวหน้าในนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะ AI กำลังผลักดันให้การใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเพิ่มขึ้น” หากไม่มีการควบคุม การปล่อยก๊าซจากระบบ AI ชั้นนำที่มีการใช้พลังงานสูงอาจสูงถึง 102.6 ล้านตัน CO₂ เทียบเท่าต่อปีในอนาคตอันใกล้ ปัจจุบัน การขาดมาตรฐาน หรือข้อกำหนดทางกฎหมายที่บังคับให้บริษัทเปิดเผยการปล่อยก๊าซ หรือการใช้พลังงานจาก AI ทำให้การประเมินผลกระทบที่ชัดเจนเป็นเรื่องท้าทาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรายงานของบริษัทแสดงให้เห็นแนวโน้มการปล่อยก๊าซที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มที่มีการนำ AI มาใช้ในระดับสูง
ความก้าวหน้าและความท้าทายด้านความยั่งยืน
- พลังงานหมุนเวียน: ในปี 2023 มี 23 บริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% เพิ่มจาก 16 แห่งในปี 2022
- ความโปร่งใส: 49 บริษัทออกรายงานสภาพภูมิอากาศแยกต่างหาก สะท้อนถึงความพยายามในการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น
- ขอบเขต 3: การจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากห่วงโซ่อุปทานและการใช้ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น โดยบริษัทที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซในขอบเขตนี้เพิ่มจาก 73 เป็น 110 แห่ง
- เป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์: เกือบครึ่งของบริษัทให้คำมั่นปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดย 41 แห่งตั้งเป้าปี 2050 และ 51 แห่งกำหนดเป้าหมายเร็วกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังไม่นำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซโดยรวมของภาคเทคโนโลยี Lourdes O. Montenegro ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการแปลงเป็นดิจิทัลของ WBA ระบุว่า “มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ก้าวขึ้นมา แต่การปล่อยก๊าซและการใช้ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้นำต้องแสดงผลการลดการปล่อยก๊าซที่วัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญาที่ทะเยอทะยาน”
การเติบโตของ AI และการประมวลผลบนคลาวด์ กำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อโครงข่ายพลังงานโลก บริษัทอย่าง Meta, Amazon และ Microsoft ได้ลงทุนในพลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวในระดับชิป แต่แนวโน้มโดยรวมยังแสดงให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขาดความสอดคล้องระหว่างเป้าหมายด้านความยั่งยืนและผลลัพธ์จริง รวมถึงการไม่มีมาตรฐานการรายงานที่ชัดเจน ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
เพื่อให้ภาคเทคโนโลยีสามารถสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความยั่งยืน การจัดการปริมาณคาร์บอนจากศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การพัฒนามาตรการควบคุมและเพิ่มความโปร่งใสในการรายงานผลกระทบจาก AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนเป้าหมายสภาพภูมิอากาศในระยะยาว.
อ้างอิง :