ทำไม “อโวคาโด” ผลไม้ซูเปอร์ฟู้ด ที่ได้รับความนิยมสูง และกำลังเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่เติบโต จึงมาพร้อมต้นทุนสิ่งแวดล้อม โดยถูกตราหน้าว่า เป็นตัวการทำโลกร้อน
อะโวคาโดได้รับการยกย่องว่าเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น วิตามินอี วิตามินซี โพแทสเซียม และไขมันดีที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและระบบย่อยอาหาร ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล อะโวคาโดกลายเป็นที่นิยมทั่วโลก ตั้งแต่เมนูอะโวคาโดโทสต์ไปจนถึงกัวคาโมเล่ในร้านอาหาร
แต่ผลไม้สีเขียวที่อร่อยและเป็นที่นิยมอย่างอะโวคาโด กำลังเผชิญกับข้อถกเถียงในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและอุดมด้วยสารอาหาร แต่การผลิตและการขนส่งอะโวคาโด ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการใช้ทรัพยากรน้ำ การตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งระยะไกล
อะโวคาโด: ซูเปอร์ฟู้ดที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทุกวันนี้อะโวคาโดมีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะบนขนมปังปิ้ง ในสมูทตี้ หรือใส่ในสลัด ร้านอาหารหลายแห่งในปัจจุบันยังเสนออะโวคาโดครึ่งลูกหรืออะโวคาโดหั่นบางให้กับออเดอร์อื่นๆ ด้วย แต่คุณเคยหยุดคิดบ้างหรือไม่ว่าผลไม้ยอดนิยมชนิดนี้ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันอะโวคาโดได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาเหนือและยุโรป โดยอเมริกาเหนือยังคงเป็นผู้นำเข้าอะโวคาโดรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนการนำเข้า 52% ของปริมาณการนำเข้าทั่วโลก โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากเม็กซิโกและเปรู ตลาดยุโรปเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่เป็นอันดับสอง โดยมีสัดส่วนการนำเข้า 33% ของปริมาณการนำเข้าทั่วโลก ตามรายงานปี 2020 ตลาดอะโวคาโดทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตที่อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 5.72% จนมีขนาดตลาดรวม 17,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 เพิ่มขึ้นจาก 12,824 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019
อะโวคาโดมีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ซึ่งมีสภาพอากาศอบอุ่นและชื้นเหมาะสมสำหรับการปลูก โดยเฉพาะพันธุ์ฮาส (Hass) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของอะโวคาโด้ที่ส่งออกทั่วโลก ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ การผลิตอะโวคาโด้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจาก 3.5 ล้านตันในปี 2000 เป็นกว่า 12 ล้านตันภายในปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ OECD/FAO อย่างไรก็ตาม ความนิยมนี้มาพร้อมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ดังต่อไปนี้:
การใช้น้ำปริมาณมาก
อะโวคาโดเป็นพืชที่ต้องการน้ำสูง โดยเฉลี่ยต้องใช้น้ำถึง 320 ลิตรต่อผลไม้หนึ่งผล หรือประมาณ 1,893 ลิตรต่อกิโลกรัม ซึ่งมากกว่าการปลูกแอปเปิ้ล (15 ลิตรต่อผล) หรือส้ม (22 ลิตรต่อผล) ถึงหลายเท่า ตามรายงานของ World Economic Forum การปลูกอะโวคาโด้ทั่วโลกใช้น้ำถึง 9.5 พันล้านลิตรต่อวัน เทียบเท่าสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก 3,800 สระ ในพื้นที่ปลูกหลักอย่างรัฐมิโชอากัง ประเทศเม็กซิโก ซึ่งผลิตอะโวคาโด้ถึง 55-60% ของการส่งออกทั่วโลก การใช้น้ำปริมาณมากนี้ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เผชิญภัยแล้ง เช่น จังหวัดเปโตรกาในชิลี ซึ่งแม่น้ำบางสายแห้งเหือดลง การชลประทานที่จำเป็นสำหรับอะโวคาโด้ยังทำให้การซึมผ่านของน้ำลงสู่ชั้นใต้ดินน้อยลงถึง 14 เท่าเมื่อเทียบกับต้นสน ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำในระยะยาว
การตัดไม้ทำลายป่าและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
เพื่อตอบสนองความต้องการอะโวคาโดที่เพิ่มขึ้น ผืนป่าในเม็กซิโก โดยเฉพาะในรัฐมิโชอากัง ถูกตัดโค่นเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกอะโวคาโด้ คาดว่ามีการสูญเสียป่าประมาณ 14,800-20,000 เอเคอร์ต่อปีในพื้นที่นี้ การตัดไม้ทำลายป่านี้ไม่เพียงแต่ลดแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า นำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ อะโวคาโด้มักปลูกในระบบ monoculture ซึ่งทำให้ดินขาดสารอาหารและอ่อนแอต่อโรค ส่งผลให้ต้องใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก ซึ่งสามารถปนเปื้อนในดินและน้ำ ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และระบบนิเวศ
รอยเท้าคาร์บอนจากการขนส่ง
อะโวคาโดที่ปลูกในอเมริกากลางและใต้ เช่น เม็กซิโก เปรู หรือชิลี ต้องถูกขนส่งระยะไกลไปยังผู้บริโภคในอเมริกาเหนือ (52% ของการนำเข้า) และยุโรป (33%) ตัวอย่างเช่น อะโวคาโด้จากเม็กซิโกที่ส่งไปฝรั่งเศสต้องเดินทางกว่า 5,600 ไมล์ ซึ่งการขนส่งด้วยเครื่องบินหรือรถบรรทุกควบคุมอุณหภูมิปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก รายงานระบุว่าอะโวคาโด้สองผล (ประมาณ 480 กรัม) มีรอยเท้าคาร์บอนราว 850 กรัม CO2e เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซจากการส่งออกกล้วย 1 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ากล้วยถึงสองเท่าและแอปเปิ้ลถึงห้าเท่า การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ย่อยสลาย เช่น พลาสติก ในการขนส่งยังเพิ่มปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อการปลูกอะโวคาโด
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้การปลูกอะโวคาโดยากขึ้นในพื้นที่แบบดั้งเดิม เช่นเม็กซิโก สเปน ชิลี และโคลอมเบีย เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบฝนที่ไม่แน่นอน รายงานจาก Christian Aid ระบุว่า พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกอะโวคาโด้อาจลดลง 14-41% ภายในปี 2050 ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 5 องศาเซลเซียส พื้นที่เพาะปลูกในเม็กซิโกอาจลดลงถึง 43% ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตของเกษตรกร
ทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า
ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิ้ลหรือส้ม แต่ก็ยังมีรอยเท้าคาร์บอนต่ำกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อวัว (85 กก. CO2e ต่อกิโลกรัม) หรือไข่ (4.6 กก. CO2e ต่อกิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถลดผลกระทบได้โดย:
- เลือกซื้อจากแหล่งที่ยั่งยืน: มองหาอะโวคาโดที่ได้รับการรับรองจาก Fairtrade หรือการผลิตแบบออร์แกนิก ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบต่อมนุษย์และความหลากหลายทางชีวภาพ
- บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ: การลดการบริโภคอะโวคาโดและหันไปใช้ทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า เช่น ถั่วลันเตา หน่อไม้ฝรั่ง หรือถั่วแระญี่ปุ่น ซึ่งใช้น้ำและพลังงานในการผลิตน้อยกว่า
- สนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น: การซื้อผลิตผลจากท้องถิ่นช่วยลดรอยเท้าคาร์บอนจากการขนส่งและสนับสนุนระบบอาหารที่ยั่งยืน
แม้ว่าตลาดอะโวคาโดทั่วโลก คาดว่าจะเติบโตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ผู้บริโภคก็ควรตระหนักถึงผลกระทบและผลที่ตามมาของผลิตภัณฑ์ด้วยเช่นกัน อะโวคาโดมีคุณค่าทางโภชนาการและสำคัญสำหรับเรา แต่การผลิตที่เข้มข้นและการขนส่งระยะไกล ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ตั้งแต่การใช้น้ำปริมาณมหาศาล การตัดไม้ทำลายป่า ไปจนถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรง การบริโภคอย่างมีสติและการเลือกทางเลือกที่ยั่งยืน จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดผลกระทบ
อ้างอิง:
- https://earth.org/how-green-are-avocados-not-very/
- https://greenly.earth/en-us/blog/industries/what-is-the-avocados-environmental-impact