จากคะฉิ่นถึงไทย วิกฤตสิ่งแวดล้อมจาก ‘เหมืองแร่แรร์เอิร์ท’

จากรัฐคะฉิ่นถึงรัฐฉาน และชายแดนไทย ปัญหาน้ำปนเปื้อน ดินถล่ม และวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร จาก “เหมืองแร่แรร์เอิร์ท” ทวีความรุนแรง นักวิจัย ชี้ ต้องใช้เวลา 50-100 ปี ถึงจะฟื้นฟูธรรมชาติได้ แนะคนไทยต้องตื่นตัว ผลกระทบรุนแรง

การเสวนา “จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ทกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 จัดขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา ได้แก่ นายธารา บัวคำศรี (Climate Connector), ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, นาย Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมจากรัฐคะฉิ่น และนาย Seng Li จาก Shaba Foundation รัฐคะฉิ่น การเสวนาครั้งนี้ มุ่งเน้นการหารือถึงผลกระทบจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในภูมิภาค รวมถึงความท้าทายในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น

ภาพรวมการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในภูมิภาค

ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้นำเสนอภาพรวมของการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในภูมิภาค โดยระบุว่ามีการดำเนินการในหลายพื้นที่ เช่น

  • รัฐฉาน ประเทศเมียนมา: เหมืองแรร์เอิร์ทในเมืองป๊อก รัฐฉาน มีแม่น้ำสาขาไหลลงสู่แม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนไหลลงสู่แม่น้ำสาละวินหรือไม่
  • ประเทศลาว: มีการทำเหมืองแรร์เอิร์ทในพื้นที่ฝั่งลาวตรงข้ามอำเภอเชียงคาน จ.เลย โดยยังไม่มีการตรวจสอบว่ามีสารปนเปื้อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงหรือไม่
  • การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน: ภาคประชาชนได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้มีการปิดเหมืองและฟื้นฟูแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ล่าสุด รัฐบาลไทยได้เจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมาและจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การตรวจสอบแร่นำเข้า: ดร.สืบสกุล ระบุว่า ยังไม่มีหน่วยงานใดในไทยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบแร่แรร์เอิร์ทที่นำเข้าจากเมียนมา โดย Mekong River Commission (MRC) ได้ตรวจพบสารโลหะหนักในลำน้ำโขงแล้ว ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองในภูมิภาค

ดร.สืบสกุล ยังชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเจรจาในพื้นที่รัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ควบคุมโดยกลุ่มว้า (Wa) ที่ได้รับผลประโยชน์จากการส่งออกแรร์เอิร์ท การเจรจาต้องคำนึงถึงบทบาทของกลุ่มว้าและความกดดันจากจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเมืองในพื้นที่ โดยจีนกดดันให้กลุ่มว้ากดดันกองกำลังชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อยุติการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา นอกจากนี้ การประชุมของ Lancang-Mekong Cooperation (LMC) ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือ และมีกำหนดจัดการประชุมครั้งต่อไปในปลายปี 2568 ขณะที่ตัวแทนจากสหรัฐอเมริกาก็เพิ่งเดินทางเยือนรัฐคะฉิ่น ซึ่งอาจมีเป้าหมายเกี่ยวกับการเข้าถึงแรร์เอิร์ทในพื้นที่

สถานการณ์เหมืองแร่แรร์เอิร์ทในรัฐคะฉิ่น

นาย Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมที่มีประสบการณ์ทำงานด้านการพัฒนาชุมชนและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติในรัฐคะฉิ่นมากว่า 20 ปี กล่าวถึงสถานการณ์ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างจีนและอินเดีย ทำให้เป็นเป้าหมายของการแสวงหาทรัพยากรจากประเทศมหาอำนาจ

  • การขยายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ท: ในช่วงแรก ชาวคะฉิ่นไม่ทราบว่าแรร์เอิร์ทคืออะไร จีนเริ่มย้ายฐานการทำเหมืองจากในประเทศที่ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมาสู่คะฉิ่น หลังการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 256 สถานการณ์การขุดเจาะแรร์เอิร์ทรุนแรงขึ้น เนื่องจากขาดการควบคุม ปัจจุบันคาดว่ามีเหมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่นถึง 370 แห่ง รวมถึงเหมืองขนาดเล็กจำนวนมาก มูลค่าการส่งออกแรร์เอิร์ทจากคะฉิ่นสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • บทบาทของ KIA: กองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) เข้ามาควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในคะฉิ่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ทำให้มีอิทธิพลต่อการจัดการเหมืองแรร์เอิร์ท
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน: การทำเหมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่นก่อให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ดินถล่มจากภูเขาที่ถูกเจาะเป็นโพรง ปัญหาน้ำปนเปื้อน และความมั่นคงทางอาหารลดลง เนื่องจากคะฉิ่นเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ แม้แต่น้ำผึ้งในพื้นที่ก็ไม่สามารถบริโภคได้เพราะมีสารปนเปื้อน ชุมชนท้องถิ่นมีการต่อต้านการทำเหมืองและการปลูกฝิ่นที่เพิ่มขึ้นจากการเข้ามาของนักลงทุนจีน
  • บทบาทของจีนและนานาชาติ: จีนควบคุมการผลิตแรร์เอิร์ททั่วโลกถึง 80% ทำให้หลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา พยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน โดยสหรัฐฯ มีความสนใจในแรร์เอิร์ทในคะฉิ่น โดยเฉพาะแรร์เอิร์ทหนัก (Heavy Rare-Earth Elements: HREEs) ซึ่งหายากและมีอยู่ในคะฉิ่น อย่างไรก็ตาม จีนกดดัน KIA ให้ยุติการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา โดยข่มขู่ว่าจะหยุดรับซื้อแรร์เอิร์ทจากคะฉิ่นหากไม่ปฏิบัติตาม

ผลกระทบ “เหมืองแร่แรร์เอิร์ท”

มุมมองจากนักวิจัยชาวคะฉิ่น

นาย Seng Li จาก Shaba Foundation นักวิจัยชาวคะฉิ่น กล่าวถึงพัฒนาการและผลกระทบจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่น โดยระบุว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนเหมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่นเพิ่มขึ้นถึง 40% เดิมทีพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกองกำลังพิทักษ์ชายแดนคะฉิ่น (BGF) แต่ปัจจุบันองค์กรอิสรภาพคะฉิ่น (Kachin Independence Organization: KIO) เข้ามาควบคุมเกือบทั้งหมด

  • ผลกระทบจากการทำเหมือง: การขุดเจาะและการใช้สารเคมีทำให้ดินและน้ำเสียหายอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ เช่น โรคผิวหนัง และความรุนแรงต่อผู้หญิงในชุมชน
  • การใช้แรร์เอิร์ท: แรร์เอิร์ทจากคะฉิ่นถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแม่เหล็ก กังหันลม และอุตสาหกรรมทหาร โดย 57% ของแรร์เอิร์ทหนักทั่วโลกมาจากคะฉิ่น และส่วนใหญ่ถูกส่งออกโดยจีน โดย 1 ใน 5 ส่งไปยังเยอรมนี
  • ปัญหาการขาดธรรมาภิบาล: นาย Seng Li ชี้ว่า การจัดการเหมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่นขาดความโปร่งใสและประชาธิปไตย KIO มักให้ความสำคัญกับนักลงทุนจีนมากกว่าชุมชนท้องถิ่น การฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมืองไม่เกิดขึ้นตามนโยบาย และกระบวนการอนุญาตทำเหมืองก็ไม่ชัดเจน มีลักษณะเป็นระบบอุปถัมภ์ รายได้จากเหมืองไม่มีการกระจายอย่างเป็นธรรมสู่ชุมชน
  • ข้อดีของ KIO: อย่างไรก็ตาม KIO อนุญาตให้นักวิชาการเข้าถึงพื้นที่เหมืองเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบปัญหา
  • ข้อเสนอแนะ: นาย Seng Li เสนอว่านานาชาติควรยอมรับบทบาทของกลุ่มชาติพันธุ์ในการควบคุมพื้นที่ และสนับสนุนให้กลุ่มเหล่านี้มีศักยภาพในการดูแลสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ผู้ซื้อแรร์เอิร์ทควรตรวจสอบแหล่งที่มาของแร่ให้ชัดเจนว่าผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมหรือไม่ โดยเฉพาะแร่ที่มาจากจีน

ผลกระทบต่อประเทศไทย

นาย Seng Li กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากเหมืองแรร์เอิร์ทในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้น ในขณะที่คะฉิ่นเผชิญผลกระทบรุนแรงมานาน การฟื้นฟูระบบนิเวศในคะฉิ่นอาจต้องใช้เวลา 50-100 ปี เขาชื่นชมที่คนไทยเริ่มตื่นตัวต่อปัญหานี้ และให้คำแนะนำดังนี้

  • การหยุดเหมือง: การหยุดการทำเหมืองแรร์เอิร์ทเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเป็นเรื่องยาก ประเทศไทยควรร่วมเจรจากับกลุ่มกองกำลังในพื้นที่ เช่น กลุ่มว้า ซึ่งควบคุมพื้นที่ทำเหมืองในรัฐฉาน นอกเหนือจากการเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา
  • ผลกระทบในคะฉิ่นเป็นบทเรียน: การทำเหมืองในคะฉิ่นทำให้แม่น้ำเปลี่ยนสีจากเขียวใสเป็นน้ำโคลน ต้นไม้ถูกตัดจนหมด สัตว์ป่าไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ชาวบ้านป่วยด้วยโรคผิวหนัง และสูญเสียอาชีพจากการที่จีนหยุดรับซื้อเครื่องเทศจากชุมชน

แถลงการณ์ โดย มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่

รายงานจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF)

ในวันเดียวกัน มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation: SHRF) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการขยายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ทในเขตปกครองพิเศษเมืองลา ภาคตะวันออกของรัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (NDAA)

  • การค้นพบเหมืองใหม่: ภาพถ่ายดาวเทียมในเดือนพฤษภาคม 2568 และวิดีโอล่าสุดเผยให้เห็นการทำเหมืองแรร์เอิร์ท 19 แห่งในเขตเมืองยอง ห่างจากแม่น้ำโขงเพียง 40 กิโลเมตร โดยในปี 2564 มีเพียง 3 แห่ง ซึ่งทั้งหมดถูกทิ้งร้างไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
  • วิธีการทำเหมือง: การทำเหมืองในพื้นที่ใช้เทคนิคการละลายแร่ด้วยสารเคมี โดยมีกระสอบสารเคมีจำนวนมากและท่อฉีดสารเคมีลงสู่เชิงเขา ปัจจุบันมี 16 เหมืองที่ดำเนินการอยู่ และ 3 เหมืองอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง โดยมีการจัดเรียงบ่อสกัดแร่เป็นวงกลมซ้อนกัน
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: เหมืองส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาสูง 4,000-5,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ห่างจากพรมแดนจีน 4 กิโลเมตร น้ำเสียจากเหมืองไหลลงสู่คลองน้ำนับ และต่อไปยังแม่น้ำโหลย ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง นอกจากนี้ ยังพบเหมืองอีก 4 แห่งทางตอนใต้ของแม่น้ำโหลยที่มีน้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำเช่นกัน

อ้างอิง :

Related posts

เปิดตัว ‘สวนสมุนไพร มทส.-อภัยภูเบศร’ นวัตกรรมเกษตรอินทรีย์รักษ์โลก

‘พายุคาจิกิ’ พายุลูกที่ 13 ของปี จ่อถล่มไทย 24-27 ส.ค.

‘โป่งเกลือเทียม’ แหล่งชีวิตสัตว์ป่า อนุรักษ์ยั่งยืน