หยาดฝนจากพระราชา พระมหากรุณาธิคุณเหนือน่านฟ้าไทย 14 พฤศจิกายน “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” ศาสตร์ที่ช่วยกู้วิกฤตภัยแล้ง ฟื้นฟูผืนป่า และรักษาความสมดุลของโลก
วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันที่พสกนิกรชาวไทย พร้อมใจกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ในฐานะ “พระบิดาแห่งฝนหลวง” พระผู้ทรงนำพาศาสตร์และศิลป์แห่งวิทยาศาสตร์มาพลิกฟื้นผืนแผ่นดินไทยจากภัยแล้งสู่ความอุดมสมบูรณ์
จุดกำเนิดแห่งพระราชดำริ
พระราชดำริโครงการฝนหลวงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเกษตรกรที่ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดฝนตกเพื่อช่วยเหลือประชาชน
จากวันนั้น พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนเทียม หรือ “ฝนหลวง” อย่างต่อเนื่อง โดยทรงใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับประสบการณ์จริงในการปฏิบัติการ ทดลอง และปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก
พระอัจฉริยภาพและเทคโนโลยี “ฝนหลวง”
ฝนหลวงไม่ใช่เพียงการหว่านสารเคมีในก้อนเมฆ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนและเป็นระบบ โดยทรงประยุกต์ใช้ความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยาและฟิสิกส์ของเมฆในการพัฒนาเทคนิคการทำฝนที่มีประสิทธิภาพ จนเกิดเป็นเทคนิคเฉพาะของประเทศไทยที่เรียกว่า “ตำราฝนหลวงพระราชทาน” ซึ่งแบ่งขั้นตอนการปฏิบัติการออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก คือ
- ก่อกวน
- เลี้ยงให้อ้วน
- โจมตี
ด้วยพระอัจฉริยภาพนี้ โครงการฝนหลวงจึงได้กลายเป็นมาตรการสำคัญในการบรรเทาภัยแล้ง เติมน้ำในเขื่อน และช่วยเหลือภาคการเกษตรของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
บทบาทสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม
โครงการฝนหลวงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การผลิตน้ำ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการ บริหารจัดการและรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยแล้ง โดยมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่นดังนี้:
- บรรเทาปัญหาภัยแล้งและฟื้นฟูระบบนิเวศ: ฝนหลวงช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในพื้นที่ป่าและต้นน้ำที่ขาดแคลน ทำให้เกิดความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการ ป้องกันไฟป่า และช่วยให้พืชพรรณและสัตว์ป่าสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นการฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว
- ป้องกันและบำบัดมลภาวะ: ในสภาวะวิกฤต ฝนหลวงสามารถใช้ในการ ลดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง (PM 2.5) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยฝนจะทำหน้าที่ชะล้างฝุ่นละอองในอากาศให้ตกลงสู่พื้นดิน
- ผลักดันน้ำเค็มและควบคุมคุณภาพน้ำ: การเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือเมื่อน้ำในเขื่อนลดลง จะช่วย ผลักดันน้ำเค็ม ไม่ให้รุกเข้ามาทำความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งน้ำจืดสำหรับอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดน้ำกร่อยในระบบแม่น้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา และยังช่วย เจือจางน้ำเสีย ในแหล่งน้ำอีกด้วย
ความปลอดภัยของสารฝนหลวง
ในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สารเคมีที่ใช้ในการทำฝนหลวงทั้งหมดเป็นสารที่ได้รับการรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และพืช ในปริมาณที่ใช้ในการปฏิบัติการ โดยเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและปุ๋ย เช่น เกลือแกง (Sodium Chloride), ยูเรีย (Urea) และแคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride) และมีการควบคุมปริมาณอย่างเคร่งครัด
“วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” จึงไม่เพียงแต่เป็นการรำลึกถึงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึง ความยั่งยืน และ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำตลอดมา โครงการฝนหลวงจึงเป็นมรดกทางปัญญาที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของชาติ ที่ช่วยให้คนไทยสามารถอยู่รอดและเติบโตเคียงคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมดุล