‘เลือกตั้ง 69’ สแกนนโยบายสิ่งแวดล้อม ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ เป็นเดิมพัน

ยุบสภาทำกฎหมายฝุ่นแท้ง “เลือกตั้ง 69” ส่องนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม “พรรคการเมืองใหญ่” ใครจะกล้าชุบชีวิต พ.ร.บ. อากาศสะอาด คืนปอดให้คนไทย

ท่ามกลางอุณหภูมิการเมืองที่เริ่มระอุรับศึกเลือกตั้ง 69 โดยเฉพาะเมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียง “ประเด็นรอง” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสุขภาพประชาชนโดยตรง ทั้งวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่วนเวียนกลับมาทุกปี และพันธสัญญาโลกร้อน (Net Zero) ที่ไทยต้องเผชิญกับมาตรการทางการค้าโลก

พรรคการเมืองน้อยใหญ่ต่างเร่งเข็นนโยบาย “สายเขียว” ออกมามัดใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้หน้ากาก N95 มานานเกือบทศวรรษ แต่ในขณะที่นโยบายกำลังพรั่งพรู ความจริงที่น่ากังวลคือ “ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด” ฉบับความหวังกลับต้องถูกพับเก็บ และเริ่มนับหนึ่งใหม่ทันทีหลังการยุบสภาเมื่อปลายปี 2568

ส่อง “นโยบายสีเขียว” ใครชูอะไร?

พรรคภูมิใจไทย

  • Net Zero & Carbon Credit: มุ่งเน้นการสร้างรายได้จากอากาศ ชูนโยบายตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ประเทศไปสู่เป้าหมาย Net Zero
  • พลังงานสะอาด: เดินหน้าโครงการ “โซลาร์ฟาร์มชุมชน” เพื่อลดภาระค่าไฟและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • การจัดการฝุ่น: ผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนรถเมล์เป็นไฟฟ้า (EV) เพื่อลดมลพิษในเมือง

พรรคเพื่อไทย

  • พ.ร.บ. อากาศสะอาด: บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และให้อำนาจท้องถิ่นจัดการปัญหาฝุ่นในพื้นที่
  • นวัตกรรมเกษตร: ชูนโยบาย “เกษตรกรรุ่นใหม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” สนับสนุนเครื่องจักรขุดกลบแทนการเผา เพื่อลดฝุ่น PM2.5 จากต้นตอภาคการเกษตร
  • เจรจาข้ามพรมแดน: ยกระดับการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อยุติปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

พรรคประชาชน

  • Polluter Pays Principle: ใครทำมลพิษ คนนั้นต้องจ่าย (รวมถึงภาษีคาร์บอน) โดยเสนอให้มีการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน
  • ระบบเตือนภัย: พัฒนาระบบติดตามฝุ่น PM2.5 รายแขวง/ตำบล แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนป้องกันตัวเองได้ทันท่วงที
  • เปลี่ยนกรุง: แคมเปญ “เปิด เปลี่ยน กรุง” ที่มุ่งเน้นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ

พรรคโอกาสใหม่

พรรคการเมืองน้องใหม่ ที่มี “ปลัดตุ๋ม” นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าพรรค โดยชูโยบายที่เป็นจุดแข็งของพรรค คือการรับมือโลกที่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว ซึ่งการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งเรื่องโลกรวน โลกร้อน หากประเทศไทยมัวแต่ตั้งรับอาจจะสายเกินไป

ทำไม “สิ่งแวดล้อม” ถึงเป็นไพ่ตาย?

ในการเลือกตั้งปี 69 ปัญหา PM2.5 ถูกคาดการณ์ว่าจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ผันผวน พรรคการเมืองที่สามารถเสนอทางออกที่กินได้ เช่น ลดค่าไฟด้วยโซลาร์เซลล์ หรือสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต จะได้เปรียบในการดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มคนเมือง และคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง

จับตาการกลับมาของ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด

การยุบสภาเมื่อปลายปี 2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” ที่กำลังจ่อคิวผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา (สว.) ทำให้กฎหมายฉบับนี้มีสถานะ “ตกไป” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 147 ทันที แต่ถึงแม้กฎหมายจะตกไป แต่ “เนื้อหา” ที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว (วาระ 3) คือต้นแบบที่รัฐบาลใหม่จะหยิบมาใช้ต่อได้ทันที โดยมีจุดเด่นดังนี้:

หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle)

  • ค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด: โรงงานอุตสาหกรรมหรือแหล่งกำเนิดมลพิษที่ปล่อยเกินมาตรฐาน จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้า “กองทุนอากาศสะอาด”
  • ภาษีคาร์บอน/มลพิษ: มีการเสนอให้ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่สะอาดขึ้น

การจัดการมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Haze)

เป็นครั้งแรกที่มีการระบุอำนาจลงโทษผู้ประกอบการไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผา หรือก่อมลพิษในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วส่งผลกระทบมายังประเทศไทย โดยถือเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร

สิทธิของประชาชนและกลุ่มเปราะบาง

  • สิทธิที่จะหายใจ: กฎหมายรับรองว่าอากาศสะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐาน
  • การดูแลสุขภาพ: กลุ่มเด็ก คนชรา และผู้ป่วยเรื้อรัง จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงการรักษาจากมลพิษทางอากาศในสถานพยาบาลของรัฐเป็นกรณีพิเศษ

กฎหมายตกไปแล้ว… ต้องเริ่มใหม่แค่ไหน?

ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มีช่องทาง “ทางด่วน” สำหรับกฎหมายที่ค้างอยู่ดังนี้

  • ต้องขอคืนภายใน 60 วัน: หลังการเลือกตั้งปี 69 และมีการประชุมสภาครั้งแรก คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ จะต้องทำเรื่องขอให้รัฐสภานำร่าง พ.ร.บ. นี้กลับมาพิจารณาต่อภายใน 60 วัน
  • ถ้าไม่ขอคืน = เริ่มนับหนึ่งใหม่: หากรัฐบาลใหม่ไม่ทำเรื่องขอคืน หรือล่วงเลยเวลา 60 วันไป กฎหมายฉบับนี้จะต้องกลับไปเริ่มต้นกระบวนการร่างและรับฟังความคิดเห็นใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 1-2 ปี

Related posts

โลกจ่อเสีย ‘ธารน้ำแข็ง’ ปีละ 3 พันแห่ง เข้าสู่จุดสูงสุดการสูญพันธุ์

เชียงใหม่ ดัน ‘EV Bus’ 20 บาทตลอดสาย ลดฝุ่น PM2.5

วิกฤตมลพิษอาเซียน 2050 ดันยอดตายพุ่ง 10%-เศรษฐกิจดิ่ง 6 แสนล้าน