NASA และนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเผย “วันสิ้นโลก” อาจมีจริง โลกจะกลายเป็นดินแดนร้างในอีก 1,000 ล้านปี เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนจัดจนมหาสมุทรระเหย พร้อมเตือนภัยพายุสุริยะที่อาจกระทบเร็วกว่านั้น มนุษย์จะรอดได้อย่างไร?
NASA ร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโทโฮ ญี่ปุ่น เปิดเผยผลการศึกษาครั้งสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของโลก โดยระบุว่า โลกจะถึงจุดจบในอีกประมาณ 1,000 ล้านปี หรือราวปี ค.ศ. 1,000,002,021 ภัยคุกคามหลักไม่ได้มาจากดาวเคราะห์น้อย หรือภัยพิบัติฉับพลันอย่างที่หลายคนคาด แต่เป็นดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่ให้ชีวิตแก่โลก ซึ่งจะกลายเป็นตัวการทำลายในท้ายที่สุด
ดวงอาทิตย์: ภัยร้ายที่คืบคลาน
ตามรายงานจาก AS USA ดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ขยายขนาดและเพิ่มความร้อนในอีก 1,000 ล้านปีข้างหน้า กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตตามธรรมชาติของดวงอาทิตย์ เมื่อมันเข้าสู่ระยะ “ยักษ์แดง” (Red Giant) ความร้อนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มหาสมุทรทั่วโลกระเหยกลายเป็นไอ อุณหภูมิพื้นผิวโลกจะสูงเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะทนได้ ส่งผลให้โลกกลายเป็นดินแดนรกร้างที่ปราศจากน้ำและสิ่งมีชีวิต
นักธรณีวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศชี้ว่า สัญญาณเตือนบางอย่างเริ่มปรากฏแล้วในปัจจุบัน เช่น ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน แม้ปัจจัยเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของการสูญสิ้นในอีก 1,000 ล้านปี แต่ก็เร่งให้สภาพแวดล้อมของโลกแย่ลง ตัวอย่างเช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และสภาพอากาศสุดขั้ว ล้วนเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ที่อาจทำให้โลกเปราะบางยิ่งขึ้นเมื่อถึงเวลาวิกฤต
พายุสุริยะ: ภัยระยะสั้นที่ต้องจับตา
นอกจากภัยระยะยาวจากดวงอาทิตย์ NASA ยังเตือนถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือพายุสุริยะ ในปี 2567 นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบการปลดปล่อยมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection – CME) และเปลวสุริยะ (Solar Flare) ซึ่งเป็นการระเบิดของพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก พายุสุริยะสามารถรบกวนสนามแม่เหล็กโลก ทำให้ชั้นบรรยากาศบางลง ลดระดับออกซิเจน และเพิ่มอุณหภูมิพื้นผิว
ผลกระทบจากพายุสุริยะอาจไม่รุนแรงถึงขั้นทำลายล้างโลกในทันที แต่สามารถสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ดาวเทียม และการสื่อสาร รวมถึงกระทบต่อระบบนิเวศที่เปราะบาง NASA ระบุว่าพายุสุริยะที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นในรอบหลายสิบหรือหลายร้อยปี และแนะนำให้ทุกประเทศเตรียมรับมือด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันและระบบเตือนภัยล่วงหน้า
การแสวงหาที่อยู่นอกโลก: ดาวอังคารคือคำตอบ?
เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง นักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาทางเลือกในการย้ายถิ่นฐานไปยังดาวดวงอื่น โดยดาวอังคารเป็นเป้าหมายหลัก เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด เช่น พื้นผิวดินที่แข็ง มีน้ำแข็งใต้ผิวดิน และบรรยากาศที่บางแต่ยังพอมีองค์ประกอบที่อาจสนับสนุนชีวิตได้ นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าดาวอังคารอาจเคยมีสิ่งมีชีวิตในอดีตก่อนเกิดเหตุการณ์บิ๊กแบงหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบสุริยะ
อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ SpaceX ได้ตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการพามนุษย์ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคาร โดยมองว่านี่คือทางรอดของมนุษยชาติและจะเป็นมรดกสำคัญของเขา SpaceX ได้พัฒนาจรวด Starship เพื่อภารกิจนี้ โดยมีแผนส่งมนุษย์ไปดาวอังคารภายในทศวรรษหน้า อย่างไรก็ตาม การสร้างที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารเผชิญกับความท้าทายมหาศาล เช่น การขาดออกซิเจน ความหนาวเย็นจัด รังสีคอสมิกที่เป็นอันตราย และการขาดแคลนทรัพยากรพื้น bases เช่น น้ำและอาหาร
นักวิทยาศาสตร์หวังว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากหายนะได้ ตามรายงานของ Baku.WS ความก้าวหน้าทางวิศวกรรมอาจทำให้มนุษย์สามารถสร้างที่อยู่อาศัยแบบปิดในอวกาศได้ เช่น สถานีอวกาศหรือฐานบนดาวอังคารที่สามารถผลิตออกซิเจน น้ำ และอาหารได้เอง ตัวอย่างเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาคือ ระบบรีไซเคิลน้ำ ระบบปลูกพืชในสภาพไร้น้ำหนัก และเครื่องปฏิกรณ์พลังงานที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอวกาศ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและความร่วมมือระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ร่างกายมนุษย์อาจไม่สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากโลก เช่น แรงโน้มถ่วงต่ำอาจทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกอ่อนแอ รังสีคอสมิกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง และการใช้ชีวิตในพื้นที่จำกัดอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต การสร้างสังคมใหม่ในอวกาศจึงต้องคำนึงถึงทั้งด้านร่างกายและจิตใจของมนุษย์
ความท้าทายอื่นๆ: เศรษฐกิจและสังคม
การย้ายถิ่นไปอวกาศไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นเศรษฐกิจและสังคม การสร้างฐานบนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นต้องใช้เงินหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมโลก คำถามสำคัญคือ ใครจะได้ไปอวกาศ? และมนุษย์จะสามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรได้หรือไม่? นอกจากนี้ การย้ายถิ่นอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาถาวร เพราะดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวจะส่งผลกระทบต่อทั้งระบบสุริยะในที่สุด
แม้ว่า 1,000 ล้านปีจะดูห่างไกลเกินกว่าที่มนุษย์รุ่นปัจจุบันจะต้องกังวล แต่การตัดสินใจในวันนี้จะกำหนดอนาคตของมนุษยชาติ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานหมุนเวียน จะช่วยยืดอายุของโลกในระยะสั้น ขณะเดียวกัน การลงทุนในเทคโนโลยีอวกาศ เช่น การสำรวจดาวอังคารและการพัฒนาระบบอยู่อาศัยในอวกาศ จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเอาชีวิตรอดในระยะยาว
NASA และหน่วยงานอวกาศทั่วโลกกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาคำตอบให้มนุษยชาติ แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และประชาชนทั่วไป คำถามที่ยังคงอยู่คือ มนุษย์จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและสร้างอนาคตใหม่ในอวกาศได้หรือไม่ หรือเราจะต้องยอมรับชะตากรรมที่รออยู่ข้างหน้า? การเดินทางเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เพิ่งเริ่มต้น และทุกก้าวในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปถึงจุดหมายหรือไม่
อ้างอิง :