กรมอุทยานแห่งชาติฯ ประชุมเครือข่าย Thailand-WEN หารือปัญหาการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ พร้อมยกระดับความร่วมมือไทย-อินเดีย
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายปฏิบัติการเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย (Thailand-WEN) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกว่า 20 หน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายข้ามชาติ โดยมุ่งเน้นสถานการณ์การค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดียที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล
การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประสานการทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการสกัดกั้นขบวนการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วม เช่น กรมศุลกากร กรมป่าไม้ กรมประมง กรมปศุสัตว์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และกระทรวงการต่างประเทศ
สถิติและสถานการณ์การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
จากข้อมูลสถิติคดีการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายข้ามชาติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563-2568) พบว่า มีคดีเกิดขึ้นทั้งสิ้น 124 คดี เกี่ยวข้องกับ 28 ประเทศทั่วโลก โดยสาธารณรัฐอินเดียเป็นประเทศที่มีการลักลอบค้าสัตว์ป่ากับประเทศไทยมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของคดีทั้งหมด หรือประมาณ 43 คดี ประเภทสัตว์ที่ถูกลักลอบค้าส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู เต่า และจิ้งจกสายพันธุ์หายาก คิดเป็น 70% ของการลักลอบทั้งหมด รองลงมาเป็นนก เช่น นกแก้วและนกเงือก คิดเป็น 15% และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิงและเสือ คิดเป็น 10% ส่วนพืชป่าที่ถูกลักลอบมีสัดส่วนน้อยกว่า คิดเป็น 5% โดยส่วนใหญ่เป็นกล้วยไม้ป่าและพืชสมุนไพรหายาก
วิธีการลักลอบที่พบมากที่สุดคือการขนส่งผ่านสายการบินพาณิชย์ โดยซุกซ่อนสัตว์ป่าในสัมภาระผู้โดยสารหรือในช่องเก็บสัมภาระ รวมถึงการใช้ท่าเรือและช่องทางบกในบางกรณี การลักลอบเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายกับอินเดียอย่างต่อเนื่องผ่านหลายช่องทาง เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านข่าวกรองกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของอินเดีย การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจค้นสัมภาระผู้โดยสารในท่าอากาศยาน และการหารือระดับทวิภาคีกับผู้แทนสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การลักลอบค้าสัตว์ป่ายังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการสัตว์ป่าในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอินเดียที่มีความนิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานและนกหายาก รวมถึงการใช้สัตว์ป่าในพิธีกรรมและการแพทย์แผนโบราณ
แนวทางยกระดับการป้องกันและปราบปราม
เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมได้หารือและกำหนดแนวทางปฏิบัติในอนาคต โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
- เพิ่มความร่วมมือด้านข่าวกรองและสืบสวนออนไลน์: ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสืบสวนและขยายผลเครือข่ายการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ขบวนการใช้ในการติดต่อซื้อขาย
- พัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่: จัดอบรมเพื่อเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบภาพเอ็กซเรย์สัมภาระ เพื่อระบุชนิดและจำนวนสัตว์ป่าที่ซุกซ่อน รวมถึงการฝึกอบรมการเก็บหลักฐานและการสืบสวนคดี
- จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ต้องสงสัย (Blacklist): รวบรวมข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย เพื่อใช้ในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อบุคคลเหล่านี้เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย
- จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างหน่วยงาน: จัดการประชุมเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน
- เพิ่มอำนาจให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI): เสนอให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ DSI มีอำนาจตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในระดับขบวนการ
- ผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับอินเดีย: เสนอให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูล การฝึกอบรมร่วม และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย
การประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายปฏิบัติการเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย (Thailand-WEN)
โดยที่ประชุมมุ่งหวังว่า แนวทางเหล่านี้จะช่วยสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานที่เข้มแข็งและมีกลไกลการทำงานที่ประสานกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและนำไปสู่การหยุดยั้งขบวนการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลดจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับอินเดียให้เหลือน้อยที่สุดในอนาคต
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืน และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของไทยในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES)