เมื่อความตาย เราสามารถเลือกเองได้ รู้จัก “Living Will สิทธิการตายดี” ที่พลังชุมชน สามารถขับเคลื่อนบทบาท สู่การเป็น Influencer เพื่อสุขภาวะแห่งชีวิต
สิทธิการตายดี คืออะไร
“สิทธิการตายดี” ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการแสดงเจตนาไม่รับการรักษาทางการแพทย์ที่มุ่งเพียงยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย โดยสามารถจัดทำ “หนังสือแสดงเจตนา” (Living Will) เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาในช่วงบั้นปลายของชีวิต สิทธินี้ให้อำนาจบุคคลในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ส่งเสริมให้การจากไปเป็นไปอย่างสงบตามธรรมชาติ ท่ามกลางครอบครัวและคนที่รัก โดยไม่ต้องเผชิญกับการยื้อชีวิตด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่อาจเพิ่มความทุกข์ทรมาน
การผลักดันสิทธิการตายดีมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมไทย เนื่องจากช่วยให้บุคคลมีทางเลือกในการกำหนดคุณภาพชีวิตในช่วงสุดท้ายตามความต้องการของตนเอง อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธินี้ยังเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น ความไม่รู้จักสิทธิของประชาชน ทัศนคติที่มองว่าการยื้อชีวิตคือการดูแลที่ดีที่สุด หรือระบบบริการสุขภาพที่อาจยังไม่พร้อมรองรับอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การขาดความเข้าใจในหมู่ครอบครัวและชุมชน รวมถึงความเชื่อทางวัฒนธรรมที่อาจขัดแย้งกับแนวคิดการตายดี ทำให้การผลักดันเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพลังของชุมชน ซึ่งสามารถเข้าถึงประชาชนในระดับรากฐานและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้จัดงานเสวนานโยบาย (Policy Dialogue) ภายใต้หัวข้อ “พลังชุมชนสู่สิทธิการตายดี” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับ “สิทธิการตายดี” ตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เพื่อเผยแพร่ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการตายดีให้กับผู้ป่วยและครอบครัว
พลังชุมชน: หัวใจสำคัญของการตายดี
พระครูนิติสุตาภร ดร. รองเจ้าคณะอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และเจ้าอาวาสวัดหนองกระดูกเนื้อ กล่าวถึงบทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางชุมชนที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าหน่วยงานราชการหรือองค์กรท้องถิ่น วัดหนองกระดูกเนื้อเริ่มขับเคลื่อนแนวคิดการตายดีตั้งแต่ปี 2557 โดยให้ความรู้แก่ญาติโยมเพื่อปรับทัศนคติให้มองการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ พร้อมพัฒนากลไกสนับสนุน เช่น ชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ ศูนย์นักบริบาลสร้างสุขชุมชน สถานชีวาภิบาล และกุฏิชีวาภิบาล เพื่อดูแลทั้งญาติโยมและพระสงฆ์ที่เจ็บป่วย โดยร่วมมือกับ อสม. และภาคีเครือข่ายต่างๆ
เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความยั่งยืน วัดได้จัดทำ “ธรรมนูญสร้างสุขชุมชน” ซึ่งเป็นกติกาที่ชุมชนร่วมกันกำหนด และผลักดันให้เป็นนโยบายผ่านสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้บริหารท้องถิ่นและคนในชุมชน ส่งผลให้เกิดการดูแลสุขภาวะอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี และตายดี พระครูนิติสุตาภร ยังชี้ว่า วัดเป็นสถานที่สำคัญในสังคมไทยที่เชื่อมโยงกับทุกกิจกรรมของชุมชน ดังนั้น การทำให้วัดเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาวะจะช่วยหนุนเสริมการดูแลคนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การมีสุขภาวะที่ดีครอบคลุมตั้งแต่การเกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี ไปจนถึงตายดี ซึ่งการตายดีเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้แน่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและมีระบบรองรับจึงเป็นเรื่องสำคัญ สิทธิการตายดีตามมาตรา 12 ช่วยให้ประชาชนสามารถแสดงเจตนาได้ แต่การใช้สิทธินี้อาจไม่ง่าย เนื่องจากระบบบริการสุขภาพบางส่วนยังไม่พร้อมรองรับ หรือครอบครัวอาจมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน นพ.สุเทพ เน้นว่า พลังของชุมชนคือปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกลไกสนับสนุนจากพื้นที่ต่างๆ
เพื่ออำนวยความสะดวก สช. ได้พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Living Will) ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถจัดทำและแก้ไขหนังสือแสดงเจตนาได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัย ในอนาคต ระบบนี้จะเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล (HIS) เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงเจตนาของผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การตายดีเป็นไปตามความต้องการของผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
นายอดิศักดิ์ วรวิชวลิตวัชระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ห้วยงู จังหวัดชัยนาท กล่าวว่า รพ.สต. เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงวาระสุดท้าย โดยพื้นที่ห้วยงูใช้กลไก “บริษัทสร้างสุข” เพื่อรวมกลุ่มภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ประชาชน และเอกชน ในการดูแล 5 มิติหลัก ได้แก่ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการ การสื่อสารเรื่องการตายดีเริ่มตั้งแต่กลุ่มผู้สูงวัยที่ยังสามารถตัดสินใจได้ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและวางแผนล่วงหน้า นอกจากนี้ สถานชีวาภิบาลในพื้นที่ยังขยายการดูแลไปถึงการฟื้นฟูผู้สูงวัย การดูแลระยะกลาง (IMC) และระยะยาว (LTC) นอกเหนือจาก Palliative Care เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนอย่างครอบคลุม
นพ.เติมชัย เต็มยิ่งยง ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า สปสช. สนับสนุนงบประมาณสำหรับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และผู้มีภาวะพึ่งพิงผ่านกองทุน Long-Term Care (LTC) ในอัตรา 10,442 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งตั้งแต่ปี 2568 ได้รวมการดูแลแบบ Palliative Care เข้ามาด้วย งบประมาณนี้จัดสรรให้กับโรงพยาบาล รพ.สต. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ หรือสถานชีวาภิบาลในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่จัดสรร 45 บาทต่อหัวประชากร เพื่อให้ชุมชนสามารถขอใช้ในการดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัดที่สนับสนุนการปรับสภาพบ้านและจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น สปสช. ยังวางแผนจัดจ้างและพัฒนาระบบนักบริบาลให้ทั่วถึงและเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม นพ.เติมชัย เน้นว่า พลังของชุมชนคือหัวใจสำคัญที่ทำให้การขับเคลื่อนยั่งยืน เพราะงบประมาณเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการดูแลที่ครอบคลุม
นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 3 กล่าวว่า การตายดีเป็นความปรารถนาของเกือบทุกคน แต่การแปลงความต้องการนี้ให้เป็นจริงนั้นไม่ง่าย เนื่องจากต้องอาศัยความเข้าใจของทั้งตัวผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชน รวมถึงการตัดสินใจที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสม บางครั้งการประเมินว่าผู้ป่วยเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้วอาจทำได้ยาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่เข้าถึงสิทธิได้จำกัด เช่น เด็กที่มักถูกยื้อชีวิต หรือพระสงฆ์ที่อาจต้องการมรณภาพในวัด แต่ระบบบริการยังไม่เอื้อเพียงพอ การแสดงเจตนาให้ชัดเจนผ่านหนังสือแสดงเจตนาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการตัดสินใจแทนโดยผู้อื่นที่อาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย
ดร.ประวีณมัย บ่ายคล้อย สื่อมวลชนและพิธีกร เล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวในการสูญเสียบิดาและมารดา โดยบิดาที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายสูงในโรงพยาบาล กระทั่งครอบครัวเลือกดูแลแบบ Palliative Care ที่บ้าน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว เธอเสนอว่า การสื่อสารเรื่องการตายดี ควรขยายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลในปัจจุบัน รวมถึงสื่อออฟไลน์อย่างพระสงฆ์ อสม. และ อสส. ซึ่งเป็น “Influencer” ในชุมชนที่มีความน่าเชื่อถือและใกล้ชิดกับประชาชน สามารถถ่ายทอดความรู้และเปลี่ยนทัศนคติได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนควรรณรงค์เรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากหลายแห่งยังขาดการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดูแลระยะสุดท้าย
บทบาท Influencer ในชุมชน
พระสงฆ์ อสม. และ อสส. มีบทบาทสำคัญในฐานะ “Influencer” ในชุมชน ด้วยความใกล้ชิดและความไว้วางใจจากประชาชน พวกเขาสามารถสื่อสารและให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิการตายดี รวมถึงช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติของครอบครัวและชุมชนให้ยอมรับการตัดสินใจของผู้ป่วย การมีส่วนร่วมของกลุ่มเหล่านี้ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นไปอย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการ และเคารพศักดิ์ศรีของผู้ป่วย
ชุมชน คือพลังขับเคลื่อนที่ยั่งยืน
การขับเคลื่อน “สิทธิการตายดี” จำเป็นต้องอาศัยพลังของชุมชนเป็นแกนหลัก ควบคู่กับการพัฒนาระบบสนับสนุน เช่น ระบบ e-Living Will และงบประมาณจาก สปสช. การส่งเสริมให้พระสงฆ์ อสม. และ อสส. เป็น Influencer จะช่วยสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนมุมมองของสังคมต่อการตายดี ส่งผลให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสออกแบบบั้นปลายชีวิตตามเจตนาของตนเอง สร้างสุขภาวะที่ดีตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายอย่างแท้จริง การร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น และระบบสาธารณสุข จะทำให้ “การตายดี” ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่ทุกคนเข้าถึงได้