บริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์-พืช 50:50 ช่วยลดโลกร้อนลงมากขึ้น

จักรชัย โฉมทองดี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tilt Collective

ทุกคนได้โปรตีนจากสัตว์เป็นหลัก ถ้าแบ่งให้มาจากพืชครึ่งมาจากสัตว์ครึ่ง เม็ดเงินสะสมที่จะได้เข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทยจะมากถึง 1.3 ล้านล้านบาท

“ไทยอาจจะไม่ใช่สังคมที่ขาดโปรตีน แต่โปรตีนหลักแบ่งระหว่างพืชกับสัตว์ ควรจะมาจากสัตว์ 30% และมาจากพืช 70% เพื่อจะได้ไฟเบอร์ สารอาหาร สารเคมีต่างๆ (Nutritional fiber) มาด้วย แต่ตอนนี้ของคนไทยโปรตีนอยู่ที่ 30:70 คืออยู่ตรงกันข้าม เพราะกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะการกินเนื้อแดงเพิ่ม และเนื้อแปรรูป ซึ่งน่าเป็นห่วง เรากำลังจะเข้าสู่ Carnivorous society หรือสังคมที่เน้นการบริโภคเนื้อสัตว์”

จักรชัย โฉมทองดี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tilt Collective กล่าวบรรยายหัวข้อ “Healthy Food for Healthier Planet (อาหารที่ดีต่อกายและดีต่อโลก)” เวที Plant – Rich Food Forum & Culinary Experience: ปรับจาน เปลี่ยนอนาคต เมื่อ 24 ก.ค. 2568

จักรชัย โฉมทองดี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tilt Collective

จักรชัย ชวนผู้ฟังในห้องประชุมดูเวลาของนาฬิกา (โชว์ภาพนาฬิกาบนจอ) เพื่อให้ทุกคนได้เห็นเวลาโดยรวมของโลกของเราที่เหลืออยู่ คือที่จะสามารถรักษาอุณหภูมิให้สูงเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากเดิมตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)
เขาบอกว่า ทุกคนคงอยากให้นาฬิกาเรือนนี้หยุดเดิน หรืออย่างน้อยเดินช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ดี การจะหยุดเวลาไว้เพื่อจะลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม ลงทุนด้านความยั่งยืนจำเป็นจะต้องมีทรัพยากรจำนวนมาก และในขณะที่กำลังมีภาวะวิกฤตอยู่ขณะนี้ เราจะไปนำทรัพยากรนั้นมาจากไหน เพราะจะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ภาคธุรกิจก็ต้องมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ราคาความยั่งยืนก็จะสูงมาก หรือแม้แต่ระดับปัจเจกบุคคลโดยทั่วไป ประชาชนโดยทั่วไปก็ต้องมีต้นทุนเช่นเดียวกัน ดังนั้นการจะได้ชื่อว่า “ยั่งยืน” บางทีมันลำบากมากขึ้น

ในภาคเกษตร หรือภาคอาหารปัจจุบัน 1 ใน 3 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมามาจากระบบอาหาร และเมื่อเจาะลงไปดูในระบบอาหารที่เป็นจุดสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็จะพบว่า 1 ใน 3 ก็คือห่วงโซ่อุปทานของปศุสัตว์ ตั้งแต่การผลิตพืชที่จะเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงกระบวนการเลี้ยงสัตว์

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), The Cloud และ Tilt Collective เมื่อ 24 ก.ค. 2568

“ผมอยากจะท้าทายสมมติฐานสักนิดหนึ่งว่า มันจริงหรือเปล่า มันเป็น zero-sum game หรือต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือเราจะสามารถเป็น win win situation หรือสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เราจะเอาตัวเลขที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วมารวมกันดูว่า เราจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันได้ มันจะเป็นไปได้จริงมากน้อยขนาดไหน

“การที่จะคำนึงถึงจุดนี้ แน่นอนมันมองได้หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขนส่ง แต่วันนี้เราว่ากันด้วยเรื่องของอาหาร เรื่องอาหารมันมี 2 มุมที่ผมอยากจะพูดถึง มุมแรกคือ ความจำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปฏิรูประบบอาหาร เราจะต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลง อย่างที่สอง ก็คือการเปลี่ยนแปลงนั้นจะสามารเปลี่ยนโอกาส สร้างต้นทุนต่ำ หรือสร้างต้นทุนดีๆ สร้างชีวิตดีๆ ต่อไปให้เราได้อย่างไร”

จักรชัย อธิบายโดยขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วน นั่นคือถ้าปัญหาโลกร้อนก็มักจะนึกถึงภาคพลังงาน แต่ทั้งทุกภาคมีความสำคัญร่วมกันหมด แต่ถ้าพูดในภาคเกษตร หรือภาคอาหาร ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมามาจากระบบอาหาร และเมื่อเจาะลงไปดูในระบบอาหารที่เป็นจุดสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็จะพบว่า 1 ใน 3 ก็คือพื้นที่สีเหลือง (โชว์ภาพบนจอ) พื้นที่สีเหลืองที่เป็น 2 ใน 3 คือพื้นที่ห่วงโซ่อุปทานของปศุสัตว์ ตั้งแต่การผลิตพืชที่จะเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงกระบวนการเลี้ยงสัตว์

ตัวเลขปี 2020 ระบบการเกษตรของโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนอยู่ที่ 17 กิ๊กกะตันต่อปี ถ้าไม่ทำอะไร เดินหน้าไปตามปกติ การพัฒนาเทคโนโลยีอะไรต่างๆ จากนี้ไปจนถึงปี 2050 ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญในเรื่อง Climate change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวเลขนี้จะเพิ่มไปอยู่ที่ 21 กิ๊กกะตันต่อปี นั่นก็หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมจักรวาลของโลก

เขาชวนทุกคนให้ดูเลข 6 สีเหลืองตรงมุมขวา (โชว์ภาพบนจอ) เลข 6 คือ การระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอาหารที่จะทำให้ทุกคนน่าจะรอดจากวิกฤตได้ แต่ไม่ใช่ว่าภาคอาหารรับภาระอย่างเดียว ทุกภาคมีตัวเลขที่ต้องรับภาระ (ในการลด) เช่นเดียวกัน แต่ภาคอาหารต้องลดจาก 21 ลงมาเหลือ 6 ซึ่งเท่ากับ GAP (ช่องว่าง) สูงมาก

แล้วจะทำได้อย่างไร จักรชัย บอกว่า วิธีการที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ก็คือ food waste หรือขยะอาหารที่ปัจจุบันมีจำนวนเยอะมาก ถ้าจัดการ Food waste ได้อย่างมีความทะเยอทะยานสูง หรือลดลงได้ครึ่งหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น ครึ่งหนึ่งจากที่มีอยู่และรักษาระยะได้ถึงปี 2050 ถือว่าทะเยอทะยานมาก และถ้าทำได้จะลดก๊าซเรือนกระจกได้ที่ 1 กิ๊กกะตันต่อปี “ตัวเลขตัวนี้สำคัญ อย่าหยุดทำ ต้องทำตลอด สำคัญมากๆ” เขาว่า

วิธีการถัดไปก็คือ การปรับปรุงการผลิต หรือ Improved Production Practices ในภาคการเกษตร โดยจะคำนึงถึง 2 ส่วน ในส่วนของวิทยาศาสตร์ การพัฒนาสายพันธุ์ การนำมูลสัตว์มาใช้ผลิตก๊าซเพื่อจัดการทั้งหมด การพัฒนาสายพันธุ์สัตว์ ผลผลิตต่อไร่ดีขึ้น ในฉากทัศน์ที่มีความทะเยอทะยานทางด้านวิทยาศาสตร์

ในขณะเดียวกัน การผลิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เกษตรกรรมยั่งยืน หรือ Regenerative Agriculture (การปลูกพืชคลุมดิน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ลดการไถพรวน เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและจุลินทรีย์ในดิน ตลอดจนฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติรอบฟาร์ม ฯลฯ) ที่มีการพูดถึงกันมากเลยคือ การนำชีวิตกลับมาสู่ดิน ให้ดินสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกกลับเข้ามาได้

ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนรวมกันแล้วคำนึงในรูปแบบที่ทะเยอทะยานที่สุด เราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาได้อีก 5 กิ๊กกะตัน

“1 + 5 สำคัญ หยุดไม่ได้ เราต้องเดินหน้าเรื่องนี้ สำคัญมากๆ ตัวเลขนี้ยังมี GAP เหลืออยู่เยอะมาก ระหว่าง 5+1 จะถึง 6 ส่วนอีก 8 กิ๊กกะตันที่เหลือจะมาจาก Plant – Rich Food System (ระบบอาหารเน้นพืช) คือการปรับสัดส่วนสมดุลระหว่างโปรตีนพืชกับโปรตีนสัตว์ ไม่ได้เอาปศุสัตว์ออกไป แต่ปรับสมดุลใหม่ แต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน ในประเทศไทยมีพืชกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาหารมากขึ้น มาจากแนวทางการบริโภคที่เป็น Directory Guideline ของคณะกรรมการสากลที่ชื่อว่า EAT-Lancet Commission”

ทั้งนี้ มีการนำเรื่องขอบเขตอาหารของโลกใบนี้ว่า Health Boundary หรือขอบเขตด้านสุขภาพที่จะทำให้สุขภาพของเราดีที่สุด จะบริโภคกันที่ตรงจุดไหน ถ้าทำได้แค่ 80% ทำตาม EAT-Lancet Commission ถือว่าทำได้ ค่อนข้างมหาศาล

จักรชัยย้ำทุกคนว่า ตัวเลข 1, 5 และ 8 ไม่ใช่ตัวเลือกว่าต้องเลือกทำแบบใดแบบหนึ่ง แต่เป็นวิชาบังคับที่ต้องลงเรียนทุกตัว ไม่อย่างนั้นจะเกิดช่องว่าง และจะเกิดวิกฤต เป็นวิชาบังคับทั้งหมด ทำร่วมกัน และหนุนเสริมซึ่งกันและกันด้วย และพอเป็นวิชาบังคับ ข่าวดีก็คือว่าวิชาที่หน่วยกิตมากที่สุดกลับเป็นวิชาที่ค่าหน่วยกิตถูกที่สุด

นั่นก็คือการลงทุนต่อหน่วยทุกหน่วย ลงทุนแค่ Plant – Rich Food System (ระบบอาหารเน้นพืช) จะเป็นตัวที่ให้ผลต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงที่สุด 1 ต่อ 28 ตัวเลขเป็นบิลเลี่ยน 1-28 เป็นเรื่องของ food waste ถ้าเป็น 1-23 เป็นเรื่องการพัฒนาการผลิต 1-18 เป็นเรื่องของ return for investment ก็คือค่าหน่วยกิตที่พูดเมื่อสักครู่นี้ว่าถูกขนาดไหน

“ข้อเท็จจริงนี้ไม่ใช่แค่ภาคเกษตรเท่านั้น แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มองในภาคอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าใครลดได้มากกว่าใคร แต่เป็น per unit of investment การลงทุนแบบไหนคุ้มสุด เป็นตัวเลขที่เห็น ถ้าเทียบกับรถไฟฟ้า ถ้าเทียบกับตัวอาคาร หรือแม้แต่พลังงานหมุนเวียน อันนี้จะเป็นตัวเลขการคุ้มค่าแห่งการลงทุนที่ต้องทำ ไม่ใช่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่สำคัญ ทุกเรื่องสำคัญ ต้องทำเหมือนกันหมด

“อาจจะสงสัยว่าแล้วทำไมเรื่องนี้ถึงส่งผลได้มากขนาดนี้ อย่างที่บอกพอมันส่งผลแล้ว ไม่ได้ส่งผลในเรื่องก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น เพราะมันใช้ทรัพยากรต่างกันมาก อย่างแรก การที่เราจะได้สารอาหารจากพืชมาสู่มนุษย์โดยมีปศุสัตว์เป็นตัวกลาง มันมีช่องทางการสูญเสียค่อนข้างเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น โปรตีน ถ้าเราจะได้โปรตีนจำนวนเท่ากันจากธรรมชาติ เราจะต้องเอาโปรตีนจากพืชสกัดไปที่สัตว์มาสู่เรา กรณีของไก่ประมาณ 5 เท่า กรณีของสุกร 10 เท่า กรณีของวัว 33 เท่า

“นั่นก็หมายความว่าต้องใช้จำนวนทรัพยากรทั้งหมดจำนวนเท่าตัวขนาดนั้น เพื่อที่จะให้ได้สารอาหารที่เท่ากันมาสู่มนุษย์ ดังนั้นจึงอธิบายว่าทำไมน้ำถึงจะประหยัดลงมาได้มากขนาดนั้น ไม่ใช่แค่น้ำ ต้องการลดการใช้ปุ๋ยเคมี และ Plant – Rich Food System (ระบบอาหารเน้นพืช) จะเป็นตัวที่จะลดได้มากที่สุดเพราะลดนิดหนึ่งโลกเปลี่ยนไปเยอะมาก ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ ปรับนิดเดียวผลมันมาก เปลี่ยนได้เยอะมากหรือmultiplier effect เพราะตัวคูณมันมาก และจะเป็นการปล่อยที่ดินออกมาเยอะมาก”

สำหรับในประเทศไทย โอกาสทางด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ไม่ว่าจะเป็น greenhouse gas ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ปุ๋ยอะไรต่างๆ คำถามที่คาใจภาคธุรกิจก็คือ เศรษฐกิจมันกำลังท้าทาย แล้วถ้าไม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้อย่างไร

ยกตัวอย่างข้อมูลของประเทศไทย ถ้าไทยจะปรับบทบาทของตัวเองเพื่อให้อยู่ภายใต้กรอบความตกลงปารีส นั่นคือการปรับลดก๊าซเรือนกระจกลง อะไรจะเกิดขึ้นกับ GDP ของไทย ถ้าปรับขึ้นไปโดยปลายทางอยู่ที่ปี 2050 หรือ 25 ปีนับจากนี้ ณ วันนั้นโปรตีนที่เราได้ที่เดิมเคยมาจากสัตว์เป็นหลัก ถ้าแบ่งให้มาจากพืชครึ่งมาจากสัตว์ครึ่ง หรือ 50:50 เม็ดเงินสะสมที่จะได้เข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทยจะมากถึง 1.3 ล้านล้านบาท

“เฉพาะส่วนเพิ่ม เพราะว่า margin หรือส่วนเพิ่มของมูลค่าที่จะเห็นของประเทศไทยในโมเดลของอาหารพืชจะสูงกว่าโมเดลอาหารที่มาจากปศุสัตว์ แม้ว่าเราจะนำเข้าอาหารสัตว์จำนวนมาก และนำเข้าพืชวัตถุดิบจำนวนมากจากต่างประเทศ แต่ถ้าเรายิ่งพัฒนาสายพันธุ์ หาแหล่งที่มาพืชออร์แกนิก พืชยั่งยืนมาใช้ในประเทศไทย ตัวเลขนี้จะยิ่งเพิ่มไปกว่านี้อีก”

ฉะนั้น ถ้า 50:50 อย่างที่จักรชัยบอกก็จะเป็นโอกาสในการเพิ่มตัวเลขการใช้วัตถุดิบในประเทศไทย และถ้าใช้วัตถุดิบในประเทศอย่างจริงจัง และเต็มที่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ จะมีตำแหน่งงานเทียบเท่าในระบบอาหารเพิ่มขึ้นถึง 1.15 ล้านตำแหน่ง ฉะนั้นสำคัญมากๆ ผลอีกด้านหนึ่งที่ได้คือ การประหยัดของพื้นที่ เนื่องจากว่าเรานำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเยอะมาก แต่ถ้าเราปรับ เราจะสามารถประหยัดพื้นที่ (เพาะปลูก) ในประเทศ หรือสามารถปลดปล่อยพื้นที่ออกมาได้ประมาณ 12 ล้านไร่ หรือเท่ากับพื้นที่ จ.นครราชสีมา

เขาอธิบายด้วยว่า สิ่งที่จะเชื่อมโยงกันระหว่างการผลิตกับธรรมชาติ การผลิตแบบยั่งยืน และกรณีของการใช้พืชเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น เพราะการผลิต การใช้พื้นที่ เราไม่อยากเอาไก่ไปตั้งอยู่บนคอนโด หรือแบบ intensive แบบอุตสาหกรรม (การผลิตที่เน้นผลตอบแทนสูงสุด) แต่อยากจะเห็นพื้นที่ธรรมชาติมากขึ้น แต่ปัจจุบันพื้นที่ธรรมชาติเหลือน้อยเหลือเกิน การทำแบบนี้จะเป็นหนึ่งคำตอบที่จะช่วยให้เราเดินไปถึงจุดนั้นได้

“เรื่องเศรษฐกิจสำคัญครับ แต่เรื่องสุขภาพสำหรับผม สำคัญที่สุด” จักรชัย ย้ำ และว่า
“เราว่ากันด้วยจำนวนปีที่เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี หรือ Health Span มีการคำนวณระดับโลกโดยการดูจำนวนปีที่หายไป อายุขัยที่ต้องจบก่อนถึงเวลาอันควร กับอายุของคุณภาพชีวิตที่ต้องจบก่อนเวลาอันควร หมายถึงว่า เราอยากมีชีวิตอยู่ แต่เราไม่สามารถมีส่วนร่วมระบบเศรษฐกิจ ไม่สามารถมีส่วนร่วมทางสังคมแล้ว จำนวนปีที่จะหายไปจากระบบอาหารปัจจุบันถ้าไปถึงปี 2050 จะหายไป 375 ล้านปี

“ถ้าเรามีสุขภาพที่ดีขึ้นซึ่งไม่ใช่จากอาหารการกินอย่างเดียว ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้ดี แต่ถ้ามองแค่เฉพาะในมุมของอาหาร ถ้าบริโภค 80% ตาม EAT-Lancet คือปรับสมดุลโปรตีน ดูแลเรื่องอาหารอย่างดี จำนวนปีที่จะได้กลับมาคือ 150 ล้านปี โดย 140 ปีมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน ไขมัน รวมถึงมะเร็งต่างๆ ที่จะหายไป ส่วนอีก 10 ล้านปีมาจากการดื้อยาปฏิชีวนะที่จะลดลงที่จะทำให้เกิดวิกฤตทางด้านสุขภาพต่อไปในอนาคตด้วย”

ในมุมของเขา บอกว่า “เข้าใจตัวเลขทางเศรษฐกิจว่า คนที่มีกำลังในการที่จะมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ อย่างสังคมตะวันออก อย่างบ้านเรามันไม่ใช่แค่หนึ่งคนป่วย บางทีหนึ่งคนป่วย หมายถึงลูกหลานที่ต้องดูแล บางครั้งจะต้องออกจากงาน การสูญเสียทั้งเศรษฐกิจมหาศาล
“แต่ถ้าไม่เกิดสิ่งนั้นขึ้น 150 ล้านปีที่ได้กลับมา เท่ากับ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 100 ล้านล้านบาท เป็นตัวเลขระดับสากล ยังไม่ใช่ตัวเลขของประเทศไทย เนื่องจากไทยงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขมากกว่าครึ่ง มากกว่า 52% หรืออาจจะมากกว่านี้อีกหมดไปกับ NCDs

“นอกจากนั้น ตัวเลขของประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่า ถ้าอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 74.3 ปี อายุของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ที่ 67.8 โดยเฉลี่ย บางคนมากบางคนน้อยแล้วแต่ดูแลตัวเองยังไง อยู่ที่ 6 ปีครึ่ง เราอาจจะอยู่นานขึ้น แต่เราไม่ได้อยู่ในคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้นตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขที่สำคัญ ถามว่าจะทำอย่างไร การจะหาอาหารสุขภาพยากเหลือเกิน”

จักรชัย กล่าวว่า มีงานวิจัยของไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พิมพ์ในวารสาร “รามาธิบดี เมดิคัล เจอร์นัล” โดยนำอาหารไทยที่เราคุ้นเคย เช่น ผัดกะเพรา ต้มยำต่างๆ มาทดสอบโดยการนำโปรตีนจากพืชเข้าไป หรือปรับเนื้อสัตว์ลดลง เอาไฟเบอร์หรือพืชขัดสีน้อยกลับเข้าไป เอาเห็ดใส่เข้าไป ยังมีกะปิ ยังมีน้ำปลา ต้องอร่อย ไม่อร่อยไม่ได้ 21 สัปดาห์ ปรากฏว่าไบโอมาร์กเกอร์ตัวอย่างดีขึ้นหมด ไม่ว่า LDL หรือไขมันเลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นตัวสกัดไมโครไบโอ ไม่ว่าจะเป็น BMI หลายตัวดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์

ประเด็นที่จักรชัยต้องการขยายความก็คือ ไทยอาจจะไม่ใช่สังคมที่ขาดโปรตีน แต่โปรตีนหลักแบ่งระหว่างพืชกับสัตว์ ควรจะมาจากสัตว์ 30% และมาจากพืช 70% เพื่อจะได้ไฟเบอร์ สารอาหาร สารเคมีต่างๆ (Nutritional fiber) มาด้วย แต่ตอนนี้ของคนไทยโปรตีนอยู่ที่ 30:70 คืออยู่ตรงกันข้าม เพราะกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะการกินเนื้อแดงเพิ่ม และเนื้อแปรรูป ซึ่งน่าเป็นห่วง ทำให้เรากำลังจะเข้าสู่ Carnivorous society หรือสังคมที่เน้นการบริโภคเนื้อสัตว์

ฉะนั้น นี่คือทิศทางที่เป็นไป แต่ทิศทางนี้ก็หมายถึงโอกาสเช่นเดียวกัน สังคมไทยมีพื้นที่ในการเปลี่ยนได้ และการเปลี่ยนนั้นมีประโยชน์กับเราแน่ แต่การเปลี่ยนจะเกิดขึ้นได้ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า ก็กลับมาสู่นาฬิกาเรือนเดิม (กล่าวในตอนต้นการบรรยาย) การจะทำให้นาฬิกาเดินช้าลงหรือหยุดเดิน แน่นอน เราเห็นโอกาสว่าเป็นไปได้และมีประโยชน์ด้วยการบาลานซ์โปรตีน แม้คำตอบนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย

“นอกจากประชาชนผู้บริโภคจะเข้าใจ ตระหนัก และ take action (ลงมือทำ) ให้ตัวเองแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีนโยบายภาครัฐที่เหมาะสม กรอบการดำเนินการที่เหมาะสม ภาคธุรกิจที่จะสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนนำอาหารดีๆ มาสู่เรา

“เกษตรกรเองที่เราเคยได้ยินได้ฟังก็จะมีตลาดเขียวผลิตอาหารดีๆ มาเสิร์ฟผู้บริโภค มันจึงเป็น eco-system เรียกว่าระบบนิเวศที่เป็นส่วนร่วมในการที่เราจะเปลี่ยนมันไปได้…ที่นี้ถามว่า แล้วสุดท้ายแล้วเนี่ยมันจะเป็นจริงได้หรือเปล่า สำหรับผมเป็นจริงได้ครับ เพราะอนาคตจากนี้ไป จานนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใส่อะไรลงไป” จักรชัยสรุป

งานดังกล่าวจัดโดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), The Cloud และ Tilt Collective เมื่อ 24 ก.ค. 2568

Related posts

‘ผำ’ ซูเปอร์ฟู้ดไทย ดังไกลสู่พืชเศรษฐกิจโลก ใน PHAM EXPO 2025

ภัยแล้ง-อากาศแปรปรวน ทำ ‘น้ำจืด’ ใกล้หมด วิกฤตโลกที่ต้องเผชิญ

31 ก.ค. ‘วันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก’ เชิดชูวีรบุรุษผู้ปกป้องผืนป่า-สัตว์ป่า