งานวิจัยเผย ความย้อนแย้งวิกฤตฝุ่น แม้ระดับ PM2.5 ในภูมิภาคมีแนวโน้มลดลง แต่ยอดผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนทำมลพิษไม่กระจายตัว กระทบหนักทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจรวมกว่า 600 พันล้านดอลลาร์
รายงานการศึกษาฉบับใหม่ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Environment International เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลเกี่ยวกับวิกฤตมลพิษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่าภายในปี 2050 อัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในภูมิภาคนี้อาจพุ่งสูงขึ้นถึง 10% ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมเกือบ 600 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าในภาพรวมระดับมลพิษจะเริ่มมีแนวโน้มลดลงก็ตาม
ประเมินความสูญเสียตามสถานการณ์การปล่อยมลพิษ
การศึกษานี้ดำเนินงานโดยทีมวิจัยที่นำโดย สตีฟ ยิม หัวหน้าศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานยาง (NTU) ประเทศสิงคโปร์ โดยได้ประเมินผลกระทบภายใต้ 3 สถานการณ์จำลอง ได้แก่:
- สถานการณ์การปล่อยมลพิษต่ำ: คาดว่าจะมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 447 พันล้านดอลลาร์
- สถานการณ์การปล่อยมลพิษปานกลาง
- สถานการณ์การปล่อยมลพิษสูง: คาดความสูญเสียอาจพุ่งสูงถึง 591 พันล้านดอลลาร์
ศาสตราจารย์ยิมเน้นย้ำว่า ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยตรง แต่เป็น “มูลค่าทางสังคมรวม” ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสียผลิตภาพในการทำงาน ผลผลิตทางเศรษฐกิจที่หายไป รวมถึงต้นทุนที่ไม่สามารถจับต้องได้จากการที่ประชากรต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ปัจจัยซ้ำเติมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปัจจุบัน ประชากรกว่า 90% ของเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประมาณ 2.5 พันล้านคน) ยังคงต้องสูดดมอากาศที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และก๊าซโอโซนในระดับที่เป็นอันตราย โดยมีสาเหตุหลักมาจากไอเสียยานพาหนะ ไฟป่า และโรงไฟฟ้าถ่านหิน
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการกระจายตัวของมลพิษ โดยศาสตราจารย์ยิมอธิบายว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อการก่อตัวและการสลายตัวของมลพิษ เช่น เมื่อปริมาณน้ำฝนลดลง มลพิษจะถูกชะล้างออกจากชั้นบรรยากาศได้ยากขึ้นและเกิดการสะสมตัวหนาแน่นกว่าเดิม
ความย้อนแย้ง: มลพิษลดลง แต่ยอดเสียชีวิตกลับเพิ่ม
ประเด็นที่น่าสนใจจากการศึกษาพบว่า ภายใต้สถานการณ์อนาคตทั้ง 3 รูปแบบ ความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในภาพรวมของภูมิภาคคาดว่าจะลดลง 2% ถึง 10% ภายในปี 2050 แต่เหตุใดจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้น?
คำตอบคือ มลพิษไม่ได้ลดลงในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในจุดที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด เช่น ภาคใต้ของประเทศไทย และ หมู่เกาะทางตอนใต้ของอินโดนีเซีย ซึ่งพื้นที่เหล่านี้อาจเห็นระดับมลพิษที่พุ่งสูงขึ้นสวนทางกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
ผลกระทบต่อสุขภาพและทางออกในอนาคต
สถาบัน Health Effects Institute และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ระบุในรายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2025 ว่า มลพิษทางอากาศคือต้นเหตุสำคัญของกลุ่มโรคร้ายแรง ได้แก่:
- โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
- มะเร็งปอด
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ รัฐบาลในอาเซียนเริ่มดำเนินการเชิงรุกมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ที่จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านคุณภาพอากาศมาตั้งแต่ปี 2010 และ อินโดนีเซีย ที่มีการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศตามคำสั่งศาลในปี 2019 นอกจากนี้ยังมีโครงการ “โครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน” (ASEAN Power Grid) เพื่อผลักดันการใช้พลังงานสะอาดร่วมกันในระดับภูมิภาค
อ้างอิง:
(1) https://fortune.com/2025/10/27/southeast-asia-air-pollution-deaths-600-billion-cost/