ภูมิปัญญาการเผาแบบตั้งใจ ช่วยต่อชีวิตผืนป่า ไม่ใช่การทำลาย

• เป็นเวลากว่า 13,000 ปีแล้วที่ชนพื้นเมืองอเมริกันเผ่าต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเรียนรู้และตกผลึกการเผาป่าแบบตั้งใจ เผาในพื้นที่ที่ควบคุมในขนาดย่อมๆ เพื่อฟื้นฟูผืนป่าให้กลับมามีชีวิตหลังฤดูกาลแห้งแล้ง สำหรับชนเผ่าในป่าและภูเขา ป่าคือคลังอาหาร คลังยา เป็นวิถีชีวิตของพวกเขาที่สืบทอดมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย

• การเผาป่าในพื้นที่เล็กๆ ที่ควบคุมได้จะช่วยกำจัดเชื้อเพลิงส่วนเกินคือซากต้นไม้ใบหญ้าที่จะทำให้เกิดไฟป่าใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัว ช่วยให้ภูเขาโล่งจากกิ่งไม้ที่กีดขวางการล่าสัตว์หรือการเดินทาง ช่วยสร้างผืนหญ้าที่ทำให้สัตว์ป่ามีกินมากขึ้น (และช่วยทำให้สัตว์ป่ามากระจุกตัวเพื่อการล่า) และยังช่วยทำให้ต้นเบอร์รี่งอกงามเป็นผืนใหญ่ เป็นอาหารที่มีเหลือเฟือของคนอเมริกันพื้นเมือง

• ที่สำคัญก็คือการเผาป่าแบบควบคุมได้โดยอาศัยภูมิปัญญาโบราณจะช่วยให้ไม่เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างในรัฐแคลิฟอร์เนีย อีกยังทำให้ผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์เหมือนกับว่าป่าไม่ได้ถูกมนุษย์คุกคาม แต่ในความเป็นจริงคือเพราะมนุษย์เข้าใจป่า และรู้วิธีจัดการ ป่าจึงอุดมสมบูรณ์

• เมื่อชาวยุโรปเดินทางมาถึงอเมริกาพวกเขาพบป่าดงดิบที่หนาทึบเหมือนไม่มีใครแตะต้องกับพื้นที่รกร้างว่างเปล่าของทวีปอเมริกาเหนือที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย แต่จริงๆ ป่ากับทุ่งที่สมบูรณ์เกิดจากชนพื้นเมืองเผาป่าและทุ่งด้วยภูมิปัญญาโบราณ ดังนั้นป่าและทุ่งทั่วทวีปอเมริกาเหนือไม่ใช่ที่รกร้าง แต่ถูกควบคุมโดยคนที่อยู่ในป่า

• แต่หลังจากชาวยุโรปขับไล่คนอเมริกันพื้นเมืองแล้วยึดที่ดินยึดป่าและถางเป็นเมือง ทั้งยังบังคับให้คนพื้นเมืองเลิกเผาป่าตามภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่พวกคนยุโรปกลับเผาในแบบของตัวเอง โดยเผาเพื่อทำลายป่า ทำลายทุ่งเพื่อสร้างเมือง และพื้นที่ปุศสัตว์ การเผาของพวกเขาฆ่าต้นไม้เล็กๆ ไม่ให้มีที่ยืน ให้เหลือแต่ทุ่งหญ้าไว้เลี้ยงสัตว์

• นี่คือจุดแตกต่างระหว่างการเผาของคนพื้นเมืองที่เผาเล็กๆ (light burning) เพื่อให้ป่าเกิดใหม่ และทำลายส่วนเกินที่อันตราย ส่วนคนที่คิดจะกอบโกยจะเผาป่าเพื่อทำลายในวงกว้าง แล้วใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์อย่างอื่น

• เป็นเวลานานถึง 100 กว่าปีที่ภูมิปัญญาการเผาป่าของพวกเขาถูกห้าม มีช่วงหนึ่งที่การเผาป่าแบบคนพื้นเมืองถูกเรียกอย่างเหยียดหยามว่า Paiute forestry (การทำป่าแบบพวกอินเดียงแดง) แต่ก็เกิดไฟไหม้ใหญ่แบบที่เทคโนโลยีไม่สามารถช่วยดับได้ ต้นศตวรรษที่ 20 จึงเกิดประเด็นถกเถียงว่าควรจะใช้วิธีรักษาป่าด้วยการเผาป่าของคนพื้นเมืองหรือไม่ แต่ตอนนั้นคนอเมริกันผิวขาวยังมีอคติเกินไปที่จะยอมรับ

• หลังจากถูกไฟป่าเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า ในปี 2521 กรมป่าไม้สหรัฐอเมริกา (USDA Forest Service) ก็ตระหนักว่าระบบนิเวศหลายแห่งต้องการไฟเผาบ่อยๆ เพื่อให้ป่าเติบโต กรมป่าไม้จึงได้ยกเลิกนโยบายห้ามจุดไฟในป่าอย่างเป็นทางการ แล้วใช้เทคนิคที่หลากหลายในการใช้ฟ้ากระตุ้นชีวิตของป่า

• และถึงแม้ว่าคนอเมริกันทุกวันนี้จะมีเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาไฟป่าที่รุนแรงขึ้นทุกปีๆ พวกเขาจึงต้องหันมาพึ่งทักษะของเจ้าของที่ดินเดิมที่พวกเขาขับไล่และออกกฎหมายห้ามสืบทอดวัฒนธรรมการเผ่าป่า รวมถึงในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เกิดไฟป่ารุนแรงขึ้นทุกปีก็หันมาพึ่งภูมิปัญญาของคนพื้นเมืองกันแล้ว

Related posts

ความหวังจาก ‘คาร์บอนเครดิต’หนึ่งในอาวุธ สู้วิกฤตโลกรวน

ภาวะโลกร้อนเขย่าวิกฤตอาหารโลก ผลผลิตลด คนหิวโหย อันตรายถึงชีวิต

ถ้าบริหารจัดการน้ำเหมือนปี 54วิกฤตอุทกภัยอาจเลวร้ายยิ่งกว่า