รายงาน DNV คาดการณ์ CCS หรือการ “กักเก็บคาร์บอน” จะขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน ด้วยแรงหนุนจากนโยบายและตลาดคาร์บอน นำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
ในรายงาน Energy Transition Outlook: CCS to 2050 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ระบุว่า การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) อยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ คาดการณ์ว่า ความสามารถในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจะเพิ่มขึ้น 4 เท่าภายในปี 2030 แต่ความสำเร็จนี้ไม่แน่นอน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นโยบายที่เปลี่ยนแปลง และการลงทุนที่ไม่เพียงพออาจทำให้ความคืบหน้าชะงัก ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างเป้าหมายการลดคาร์บอนและสิ่งที่ทำได้จริง
การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) คืออะไร
CCS หรือการดักจับและกักเก็บคาร์บอน เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า โดยดักจับคาร์บอนขนส่งไปยังสถานที่กักเก็บ และเก็บไว้ในชั้นหินใต้ดินอย่างปลอดภัย หรือนำไปใช้ในรูปแบบอื่น เช่น การผลิตวัสดุนอกจากนี้ CCS ยังช่วยกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนความยั่งยืนในระยะยาว
รายงานของ DNV ชี้ว่า CCS จะขยายตัวในทุกภาคส่วนและภูมิภาคไปจนถึงปี 2050 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การสนับสนุนนโยบายที่ชัดเจน ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และการลงทุนที่เพียงพอ คาดว่าในปี 2030 ความสามารถในการดักจับจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และในปี 2040 ถึง 2050 จะกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบพลังงานและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฮโดรเจนสีน้ำเงิน อุตสาหกรรมหนัก และการขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ภูมิภาคอย่างอเมริกาเหนือจะได้แรงหนุนจากนโยบาย เช่น เครดิตภาษี ในขณะที่ยุโรปมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero จีนจะเร่งใช้ CCS ในอุตสาหกรรมหนัก และตะวันออกกลางจะเน้นในภาคน้ำมันและก๊าซ
ต้นทุนของ CCS ขึ้นอยู่กับภาคส่วนและภูมิภาค แต่คาดว่าจะลดลงจนถึงปี 2050 จากนวัตกรรมและการขยายขนาด ตลาดคาร์บอน เช่น การกำหนดราคาคาร์บอน จะช่วยผลักดันความต้องการ CCS โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่มีราคาสูง เช่น การกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทาย เช่น การขาดโครงสร้างพื้นฐาน ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการยอมรับจากสาธารณชน อาจเป็นอุปสรรค การลงทุนที่เพียงพอและความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนจะเป็นกุญแจสำคัญ
ความสำคัญของ CCS
CCS มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ลดการปล่อยก๊าซได้ยาก เช่น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เหล็ก เคมีภัณฑ์ และการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ CCS ยังสนับสนุนการกำจัดคาร์บอน (Carbon Removal) ซึ่งช่วยลดปริมาณ CO₂ ในชั้นบรรยากาศ ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบนิเวศและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
ไฮไลต์สำคัญจากรายงาน
แนวโน้มการใช้งาน CCS ทั่วโลก
- ปี 2030: ความสามารถในการดักจับคาร์บอนจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการขยายตัวของโครงการ CCS ในหลายภาคส่วน
- ปี 2040 และ 2050: CCS จะกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบพลังงานและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ยากต่อการลดคาร์บอน
ข้อมูลเชิงลึกเฉพาะภาคส่วน
- ก๊าซธรรมชาติและไฮโดรเจน: CCS จะช่วยลดการปล่อยก๊าซจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและสนับสนุนการผลิตไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen)
- อุตสาหกรรมหนัก: การผลิตปูนซีเมนต์ เหล็ก และเคมีภัณฑ์จะพึ่งพา CCS เพื่อลดการปล่อย CO₂
- การขนส่ง: การใช้ CCS ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงสังเคราะห์จะเพิ่มขึ้น
แนวโน้มระดับภูมิภาค
- อเมริกาเหนือ: ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
- ยุโรป: มุ่งเน้นการใช้ CCS เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนัก
- จีน: การเติบโตของ CCS จะเร่งตัวขึ้นจากความต้องการพลังงานและนโยบายลดคาร์บอน
- ตะวันออกกลาง: CCS จะถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเพื่อลดการปล่อยก๊าซ
ความผันแปรของต้นทุน
- ต้นทุนของ CCS จะแตกต่างกันไปตามภาคส่วนและภูมิภาค โดยขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน
- รายงานคาดการณ์ว่าแนวโน้มต้นทุนจะลดลงในระยะยาวถึงปี 2050 ด้วยนวัตกรรมและการขยายขนาด
บทบาทของตลาดคาร์บอน
- ตลาดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มความต้องการ CCS โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่มีราคาสูง เช่น การกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Removal: CDR)
- การกำหนดราคาคาร์บอนที่แข็งแกร่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนใน CCS และสนับสนุนการนำไปใช้ในวงกว้าง
การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยคาดว่าความสามารถในการดักจับและกักเก็บจะเพิ่มขึ้น 4 เท่าภายในปี 2030 แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับนโยบายที่ชัดเจน ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และการลงทุนที่เพียงพอ หากขาดปัจจัยเหล่านี้ ความคืบหน้าอาจชะงัก สร้างช่องว่างระหว่างเป้าหมายการลดคาร์บอนและผลลัพธ์ที่เป็นจริง
อ้างอิง :