“สิงโต” คือสุดยอดนักล่าตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเพื่อความบันเทิง องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและกรมอุทยานฯ ชี้ การเลี้ยงสัตว์ป่าในสภาพแวดล้อมที่ผิดธรรมชาติ นำมาซึ่งความสูญเสีย บทเรียนนี้สอนอะไร และสิงโตควรอยู่อย่างไร ให้ปลอดภัยทั้งต่อสัตว์และมนุษย์?
เหตุสลดที่ซาฟารีเวิลด์ จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อความบันเทิง องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและกรมอุทยานฯ ชี้ สัญชาตญาณนักล่าของสิงโต และความหละหลวมในการจัดการ คือต้นตอของโศกนาฏกรรม ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องทบทวนบทบาทของสวนสัตว์ และการครอบครองสัตว์ป่าในประเทศไทย
เมื่อสัตว์ป่า ไม่ควรเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อความบันเทิง
World Animal Protection Thailand องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นความจริงที่ชัดเจนว่า สัตว์ป่าไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อความบันเทิงในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง สวนสัตว์เชิงพาณิชย์ หรือแม้แต่ซาฟารีที่ดูเหมือนใกล้ชิดธรรมชาติ แต่แท้จริงคือการควบคุมสัตว์ให้ดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ผิดไปจากธรรมชาติ การบังคับให้สัตว์นักล่า เช่น สิงโต ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อความบันเทิงของคน นำมาซึ่งความเสี่ยงทั้งต่อสัตว์และต่อมนุษย์อย่างที่เราได้เห็นแล้ว
ที่สำคัญ สัตว์ป่าอย่างสิงโต ล้วนมีสัญชาตญาณดุร้ายและพฤติกรรมการป้องกันตัวตามธรรมชาติ ซึ่งสำหรับสัตว์เหล่านั้นอาจเป็นเรื่องปกติ แต่กลับเป็นอันตรายร้ายแรงต่อมนุษย์ เพราะด้วยขนาดร่างกายและกำลังมหาศาลของสัตว์ป่าที่ไม่อาจควบคุมได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกรณีที่ซาฟารีเวิลด์ สัตว์เหล่านี้ก็มักถูกทำให้เป็น “จำเลย” ของสวนสัตว์ และอาจถูกจัดการด้วยวิธีที่รุนแรง หรือการลงโทษ เพียงเพราะสัตว์เหล่านั้นแสดงพฤติกรรมตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ความผิดพลาดอยู่ที่การนำสัตว์ป่ามาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดที่แท้จริงของสัตว์เหล่านั้นตั้งแต่แรก
ข้อมูลจากการศึกษา พบว่า ประชากรสิงโตที่ถูกกักขังเพิ่มจำนวนขึ้นจาก 131 ตัว ในปี 2561 เป็น 444 ตัวในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 239% ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบของการเลี้ยงและครอบครองสัตว์นักล่าที่เกินความจำเป็น
ที่น่าตกใจคือ จำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสิงโตส่วนตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1,300% ซึ่งเป็นสัญญาณถึงความเสี่ยงด้านสวัสดิภาพ ความปลอดภัยและการลักลอบค้าสัตว์ป่า อีกทั้งยังพบแนวโน้มที่อันตราย เช่น การเปิดคาเฟ่สิงโต การเช่าสิงโตเพื่อสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย และการเพาะพันธุ์สิงโตเผือกเพื่อขายในราคาสูง สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าธุรกิจครอบครอง และเพาะเลี้ยงสิงโตในประเทศไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจเชิงพาณิชย์ มากกว่าจะเป็นการอนุรักษ์
นี่ไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมของซาฟารีเวิลด์ แต่คือ ปรากฏการณ์เชิงโครงสร้าง ของการใช้สัตว์ป่าเพื่อความบันเทิง ในประเทศไทยและภูมิภาค หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เราจะยังคงเห็นความสูญเสียเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และสิ่งเหล่านี้จะบั่นทอนทั้งสวัสดิภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้คน และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาสังคมโลก
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกในอนาคต เห็นควรมีการทบทวนและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้สัตว์ป่าอย่างเข้มงวดมากขึ้น พิจารณายุติการเพาะพันธุ์ การนำเข้า และการครอบครองสัตว์ป่าเพื่อการค้าโดยภาคเอกชน
ควบคู่กับมาตรการเร่งด่วนและเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ควรมีการส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงจริยธรรม (wildlife-friendly tourism) ที่ให้ความสำคัญต่อการเคารพสิทธิและ สวัสดิภาพสัตว์ป่า สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและประชาชน อันจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยบนเวทีโลก
กรมอุทยานฯ ออกมาตรการเข้ม
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้สั่งกักตัวสิงโตทั้ง 5 ตัวเพื่อปรับพฤติกรรม เนื่องจากหากปล่อยให้สัตว์เหล่านี้เคยชินกับการทำร้ายมนุษย์ อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง พร้อมปิดพื้นที่โซนสัตว์ดุร้ายทันที เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยทุกด้าน ทั้งความแข็งแรงของกรง และพื้นที่ป้องกันการหลุดออกของสัตว์ รวมถึงประเมินความพร้อมของมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ เช่น การจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว และอุปกรณ์ควบคุมสัตว์ เช่น กระบองไฟฟ้า ปืนยิงยาสลบ หรือเครื่องมืออื่นๆ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องปรับปรุง
นอกจากนี้ กรมอุทยานฯ ได้สั่งการให้ตรวจสอบการครอบครองสัตว์ป่าดุร้ายทั่วประเทศ โดยสัตว์ต้องถูกเลี้ยงในกรงที่ได้มาตรฐาน หากพบว่ามีการเลี้ยงผิดเงื่อนไข หรือไม่แจ้งจดทะเบียน จะดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่ง รวมถึงอาจยึดสัตว์ไปดูแลต่อที่กรมอุทยานฯ โดยผู้ครอบครองต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ขณะที่ นายเฉลิม พุ่มไม้ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ยืนยันว่า การหันหลังให้สิงโต ไม่ว่าจะมีความผูกพันกับสัตว์มากเพียงใด จะกระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าของสัตว์ป่าทันที โดยมีหลักฐานจากวิดีโอจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า สิงโตจะจู่โจมจากด้านหลังเมื่อมนุษย์หันหลังให้ สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ สิงโตกลุ่มนี้ได้เรียนรู้และจดจำว่า สามารถล่ามนุษย์ได้ และรับรู้กลิ่นเลือดของมนุษย์ ซึ่งอาจทำให้มองว่า การล่ามนุษย์เป็นเรื่องปกติ ทุกคนในสวนสัตว์แห่งนี้ จึงมีความเสี่ยง หากไม่ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยได้หากขาดความระมัดระวัง
อ้างอิง:
- Increase in the number of captive lions in Thailand suggests ineffective legislation https://shorturl.at/n1Z8s)