ภาคเอกชนในนาม กกร.อ้างมีความตระหนักต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แต่กลับยกประเด็นมาคัดค้านเครื่องมือลดฝุ่นละออง PM2.5 ที่แท้แค่อยากเซฟต้นทุน
คำแถลงของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ต่อจุดยืนร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568 เกิดคำถามและข้อเคลือบแคลงหลายประการ
จากที่ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวาระ 2 และวาระ 3 จากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขณะนี้รอวุฒิสภาพิจารณาและลงมติก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ทันที
ท่าทีของ กกร. ซึ่งเป็นตัวแทนภาคเอกชน 3 สถาบัน อย่างคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตฯ แสดงความกังวลว่ากฎหมายใหม่จะซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิมที่ใช้บังคับเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมถึงกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลมลพิษทางอากาศอยู่แล้ว
ข้อกังวลของประธานสภาอุตฯ มีคำถามว่า ทำไมกฎหมายที่มีอยู่แล้วถึงจัดการปัญหามลพิษอากาศไม่ได้ (ก็ถึงต้องผลักดันกฎหมายใหม่ให้ครอบคลุมและใช้แก้ปัญหาได้จริง-ไม่ใช่หรือ) และหากกฎหมายเดิมดีอยู่แล้ว ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมหรือกระบวนการผลิตถึงยังเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ
ในเมื่อ “กกร.ตระหนักกับปัญหามลพิษทางอากาศเป็นอย่างยิ่งและเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่มุ่งยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5” ตามที่คุณเกรียงไกรว่า คุณเกรียงไม่ได้คิดหรือว่า กฎหมายเดิมไม่เวิร์ก ภาคประชาสังคมจึงต้อง
การกฎหมายใหม่ที่มีอำนาจและเวิร์กกว่าเดิม
สรุปแล้ว กกร.มีความตระหนักจริงหรือไม่ หรือตีมึน เตะถ่วง เพื่อปกป้องผลประโยชน์และหวัง “เซฟต้นทุน” ของกลุ่มทุนเท่านั้นเอง
ถ้าภาคเอกชนไม่ต้องการให้มีต้นทุนเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องมีข้อกังวลเรื่องความซ้ำซ้อนของกฎหมาย หรือความซ้ำซ้อนด้านอำนาจหน้าที่ เพราะกฎหมายนี้กำหนดให้ “ผู้ปล่อยมลพิษเป็นผู้จ่าย” โรงงานไหนหรือแหล่งไหนไม่ปล่อยมลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐานก็ไม่เห็นจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน
ในทางกลับกันความเดือดร้อนและผลกระทบจากมลพิษอากาศที่รุนแรงมากขึ้นในทุกวันนี้ สาเหตุหนึ่งไม่ใช่เพราะมาจากภาคเอกชนที่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและไม่มีจรรยาบรรณในการประกอบกิจการหรอกหรือ?
หรือว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา– กกร.ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการทำหน้าที่ร่วมตรวจสอบ รวบรวม “ปลาเน่า” มายื่นให้หน่วยงานรัฐคอยจัดการลงโทษอย่างสม่ำเสมอ และเอาจริงเอาจังมากกว่าภาคประชาสังคมที่ดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่อง — เท่าที่เฝ้าติดตาม ไม่เคยมีข้อมูลเหล่านี้ปรากฎต่อสาธารณะ
ข้อเสนอให้มีตัวแทนภาคเอกชนร่วมอยู่ในคณะกรรมการการแก้ปัญหามลพิษอากาศทั้งระดับชาติและระดับจังหวัดตามที่นำมาอ้าง ไม่น่าจะใช่สาระสำคัญหลักในการขอมีส่วนร่วมแก้ปัญหาอากาศพิษ ด้วยภายใต้ข้อเสนอนี้พุ่งเป้าไปยัง “เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์” ที่จะนำมาบังคับใช้และจะส่งผลให้ต้นทุนของเอกชนเพิ่มมากขึ้นแค่นั้น
กล่าวย้ำให้ชัดก็ได้ว่า เอกชนกังวลแค่ต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้น มากกว่าประเทศนี้มีมลพิษอากาศรุนแรงมากขึ้นจนทุกคนจะไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ ซึ่งตัวแทน กกร.ที่ออกมาแถลงบอกชัดว่า พวกเขาต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1-5 บาท/ลิตร ภาษีสรรพสามิต 5-6 บาท/ลิตร และได้เสนอให้นำมาตรฐานจูงใจมาใช้แก้ปัญหามลพิษ อย่างมาตรการทางภาษีหรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่จะช่วยลดมลพิษ (แปลว่าที่ผ่านมาไม่ยอมปรับปรุงเนื่องจากจะกระทบต้นทุน)
นั่นเป็นเหตุผลที่ภาคเอกชนคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือปฏิเสธมาตรการทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ทันที กกร.ยังคัดค้านมาตรการลงโทษผู้ปล่อยมลพิษในกฎหมายฉบับนี้ด้วย โดยอ้างว่าอัตราโทษและบทกำหนดโทษสูงกว่าฉบับอื่นๆ ทั้งโทษแพ่งและโทษอาญา
คุณเกรียงไกรยกมาเป็นตัวอย่าง อาทิ การกำหนดโทษทางอาญาแม้จะเกิดจากความประมาท จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เขาบอกว่า “บทลงโทษและอัตราโทษ” อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน จึงเสนอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาการปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้จริง — บรรยากาศการลงทุนของประเทศที่ กกร.อยากจะเห็น คงไม่ใช่สภาพแวดล้อมของเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษอากาศเกินค่ามาตฐาน
จากคำแถลงเหล่านี้จึงตอกย้ำชัดเจนว่า กกร.ไม่ได้ตระหนักต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม แต่ตระหนกต่อผลกระทบของภาคเอกชนมากกว่า ผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องสูดฝุ่น PM2.5 กันฉ่ำปอดในทุกปี และรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังมองไม่เห็นแนวโน้มการแก้ไขปัญหานี้จากหน่วยงานใดของภาครัฐ
ดังนั้น ประเด็นความตระหนักต่อการแก้ปัญหามลพิษของ กกร.ที่นำมาอ้าง จึงยังไม่อาจนำคำว่า “ตระหนัก” มาใช้เป็นเหตุผลประกอบ แค่เป็นความตระหนกไปเอง และข้อกล่าวอ้างทั้งหลายล้วนอยู่บนผลประโยชน์ของกลุ่มทุน โดยเฉพาะทุนไร้จรรยาบรรณ ทั้งในนามโรงงานอุตสาหกรรมและภาคการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานซึ่งปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศมาอย่างต่อเนื่อง
หากจะโต้แย้งว่า ไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษที่เป็นต้นตอของปัญหา..จะออกตัวแถลงแสดงท่าทีคัดค้านกฎหมาย (ที่กำลังผ่านวุฒิฯ) ที่เป็นความหวังในการคืนอากาศบริสุทธิ์ให้มวลมนุษยชาติไปทำไม?
อีกประเด็นที่อยากชวนคิดไปพร้อมๆ กัน ก็คือ ความเห็นจากตัวแทนสภาหอการค้าฯ ที่บอกว่า การมอบอำนาจให้คนบังคับใช้กฎหมายใช้ดุลยพินิจจะเป็นสาเหตุนำไปสู่การทุจริต (ของเจ้าหน้าที่รัฐ) คำถามก็คือว่า ที่ผ่านมาที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มีใครเอาแบงก์เทาไปอุดปล่องควันโรงงานฯ จนเจ้าหน้าที่รัฐมองไม่เห็นมลพิษและไม่เคยมีการลงโทษอย่างจริงจัง
คำอธิบายจากฟากกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายอากาศสะอาด คุณภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้โต้แย้งและหักล้างข้อกังวลของฝั่ง กกร. ที่ยกมาไว้อย่างมีเหตุมีผลทั้ง 3 ประเด็น และทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มทุนในนาม กกร.มีความกังวลอะไรกันแน่ หรือพยายามตีรวนตีมึนเพื่อปกป้องผลประโยชน์กลุ่มตัวเองเท่านั้น
อย่างประเด็นไม่มีสัดส่วนภาคเอกชนในคณะกรรมการอากาศสะอาดระดับชาติและจังหวัด ในความเป็นจริง มีการกำหนดสัดส่วนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
ประเด็นที่สอง มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่จะใช้เก็บค่าธรรมเนียมผู้ปล่อยมลพิษ ก็ระบุให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมกับกิจการหรือสินค้าที่มีแนวโน้มสูงในการก่อมลพิษทางอากาศตามที่รัฐมนตรีกำหนด และยังระบุถึงมาตรการสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือผู้ประกอบการ ไม่ว่าการให้เงินอุดหนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยเหลือเทคโนโลยีต่างๆ กับผู้ประกอบการ รวมถึงการลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับผู้ประกอบการที่จัดการบำบัดมลพิษได้อย่างดี
ประเด็นที่สาม ที่บอกว่า กองทุนอากาศสะอาดไม่มีการลำดับความสำคัญวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น คุณภัทรพงษ์บอกว่าประเด็นนี้ยิ่งประหลาด เพราะ 1) การบริหารจัดการกองทุนนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในกฎหมาย
2) การจะยื่นกฎหมายที่มีกองทุนซึ่งเป็นกฎหมายการเงินต้องผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี คำกล่าวอ้างนี้ยิ่งไม่มีน้ำหนัก เพราะได้ผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้ว
ฉะนั้น หาก กกร.มีเจตนารมณ์ที่จะร่วมสร้างอากาศที่สะอาด และได้มีการศึกษากฎหมายมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ก็ไม่ควรต้องมีความกังวลใดๆ จนเกินเหตุ แต่ในฐานะพลเมืองของประเทศควรต้องมีส่วนร่วมผลักดัน สนับสนุนให้ประชาชนในประเทศเรามีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ ทุกคนมีสุขภาพที่ดี และช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตเท่าทันเพื่อนในชาติอาเซียนด้วยกัน (อย่าคิดไกลไปแข่งเวทีโลก)
