ทำความเข้าใจกับ “ภาษีคาร์บอน” ก้าวสำคัญของไทยในการลดโลกร้อน และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน หลัง ครม.ไฟเขียว เก็บภาษีคาร์บอน 200 บาทต่อตัน เส้นทางสู่ Net Zero ในปี 2065
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญ “ภาษีคาร์บอน” (Carbon Tax) ได้รับการยอมรับว่า เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ปัจจุบันมีประเทศที่เก็บภาษีคาร์บอนอยู่ประมาณ 36 ประเทศ ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศในยุโรป เช่น สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ที่มีอัตราภาษีคาร์บอนสูงที่สุด
ส่วนประเทศไทย มีความพยายามที่จะผลักดันการเก็บภาษีคาร์บอน เพื่อมุ่งเป้าสู่ Net Zero ให้ได้ จนมติ ครม. วันที่ 21 มกราคม 2568 เห็นชอบภาษีคาร์บอน โดยกำหนดราคา 200 บาท/ตัน ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ครอบคลุม 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่สองของเอเชีย ต่อจากสิงคโปร์ ที่เป็นประเทศแรกที่เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนในปี 2019
ภาษีคาร์บอน คืออะไร
ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการผลิต การจำหน่าย หรือการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน จากผู้ประกอบการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปริมาณสูงกว่าเกณฑ์กำหนด สู่ชั้นบรรยากาศ ภาษีคาร์บอนทำงานโดยการกำหนดราคาให้กับการปล่อยก๊าซ CO2 ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน เมื่อผู้ประกอบการต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจากการปล่อยก๊าซ พวกเขาจะมีแรงจูงใจในการปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น
ทำไมต้องมีภาษีคาร์บอน?
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ภาษีคาร์บอนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจและประชาชนในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 โดยการกำหนดราคาให้กับการปล่อยก๊าซเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดต้นทุนที่ชัดเจนสำหรับการปล่อยมลพิษ
ภาษีคาร์บอน ในประเทศไทย
ไทยได้ประกาศเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% จากการดำเนินการตามปกติ เพื่อจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ไทย เริ่มเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บภาษีคาร์บอน โดยมีกำหนดเริ่มใช้งานในปี 2568 (2025) ที่อัตราเริ่มต้น 200 บาทต่อตัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 การเก็บภาษีนี้จะไม่เพียงแต่ช่วยลดมลพิษ แต่ยังส่งเสริมให้ธุรกิจปรับตัวไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว
“น้ำมันดีเซล 1 ลิตร ปล่อยคาร์บอน 0.0026987 ตันคาร์บอน ขณะที่น้ำมันเบนซิน 1 ลิตร ปล่อยคาร์บอน 0.0021816 ตันคาร์บอน” เป็นข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในประเทศไทย
ภาษีคาร์บอน ในประเทศไทย มีอะไรบ้าง
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการคลังกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
- สินค้าที่จะมีการกำหนดกลไกราคาคาร์บอนเป็นสินค้าในตอนที่ 1 สินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตในบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเฉพาะประเภท ดังนี้
1) ประเภทที่ 01.01 น้ำมันเบนซินและน้ำมันที่คล้ายกัน ซึ่งรวมถึงแก๊สโซฮอล์ประเภทต่างๆ เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เป็นต้น
2) ประเภทที่ 01.03 น้ำมันก๊าดและน้ำมันที่จุดให้แสงสว่างที่คล้ายกัน
3) ประเภทที่ 01.04 น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น
4) ประเภทที่ 01.05 น้ำมันดีเซล และน้ำมันอื่นๆ ที่คล้ายกัน ซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสมอยู่ประเภทต่างๆ เช่น น้ำมันดีเซล B5 น้ำมันดีเซล B7 และน้ำมันดีเซล B10 เป็นต้น
5) ประเภทที่ 01.07 ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอล.พี.จี.) ก๊าซโพรเพรน และก๊าซที่คล้ายกัน
6) ประเภทที่ 01.12 น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน
- กำหนดราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ซึ่งเบื้องต้นจะมีการกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า
- กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตดังกล่าว จะพิจารณาจากราคาคาร์บอนที่กำหนดคูณกับค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันแต่ละชนิด
ทั้งนี้ อัตราราคาคาร์บอนกำหนดเบื้องต้นที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า โดยคิดคำนวณจากค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ของน้ำมันแต่ละชนิด เช่น น้ำมันดีเซล 1 ลิตร จะคิดอัตราภาษีคาร์บอนที่ 0.55 บาทต่อลิตร ซึ่งถูกรวมอยู่ในภาษีสรรพสามิตเดิม
ตัวอย่าง : ภาษีคาร์บอน = ปริมาณการปล่อย x ราคา เช่น หากองค์กรปล่อย CO2 ได้ 1,000 กิโลกรัม และอัตราภาษีคือ 10 บาทต่อกิโลกรัม ภาษีที่ต้องชำระจะเป็น 1,000 kg x 10 บาท/kg = 10,000 บาท
ดร. กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงการคลังกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. …. นี้ เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในของพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ที่มีการคำนวณราคาคาร์บอนไว้เป็นส่วนหนึ่งในอัตราภาษีน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านให้ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ ให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือกระบวนการผลิต ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมและการสร้างมาตรฐานสากลให้กับผู้ประกอบการ ที่จะส่งสินค้าไปยังประเทศที่มีการบังคับใช้มาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ในหลายๆ ประเทศได้เตรียมตัว และสามารถใช้ราคาคาร์บอนนี้ในกรณีที่จะมีการจัดเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาคาร์บอนจากสินค้าที่จะนำเข้าไปในประเทศนั้นๆ ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมได้เริ่มตระหนักถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการใช้กลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยยืนยันว่า การกำหนดราคาคาร์บอนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมและค่าครองชีพของประชาชน
สรุป
มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนในอัตรา 200 บาทต่อตัน เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ การดำเนินมาตรการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดมลพิษ แต่ยังสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น
อ้างอิง :
- https://thestandard.co/thai-carbon-tax/
- https://solarppm.com/carbon-tax/
- https://energy-thaichamber.org/what-is-carbon-tax/