ดึง ‘EPR- PPP Plastics’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนแก้ขยะพลาสติก

by Chetbakers

นักวิชการแนะภาครัฐวางระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกอย่างครบวงจร ด้วยการนำ EPR และ PPP Plastic มาเป็นกลไกการขับเคลื่อน

ท่ามกลางปัญหาขยะพลาสติก มลพิษสิ่งแวดล้อม และไมโครพลาสติกที่เริ่มส่งผลกระทบ แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้กลายเป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญของโลกในการลดการใช้ทรัพยากรและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตพลาสติกรายสำคัญ กำลังเดินหน้าบนเส้นทางนี้ไปถึงไหน? รศ.ดร.สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ จากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้สะท้อนมุมมองที่น่าสนใจ ตั้งแต่ “ศักยภาพ” ของไทย ไปจนถึง “โจทย์ใหญ่” ที่ต้องเร่งปลดล็อค เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน

รศ.ดร.สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

• ไทยมีศักยภาพ แต่ต้องเร่งสปีดขึ้น 2 – 4 เท่า
ในมุมมองของนักวิชาการ รศ.ดร.สัญญา ชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกอย่างครบวงจร เนื่องจากมีพื้นฐานอุตสาหกรรมพลาสติกที่แข็งแกร่งและครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ อีกทั้งยังมีกรณีศึกษาโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกขนาดเล็กในระดับชุมชนที่สามารถนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อมองในภาพใหญ่กลับพบความท้าทาย

ข้อมูลงานวิจัยชี้ว่า การขยายตัวของโครงการเหล่านี้ยังล่าช้ากว่าเป้าหมายระดับชาติตามแผนโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกที่ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ประเทศไทยควรมีระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกที่สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร นับจากนี้ไทยต้องเร่งการดำเนินการหลายด้านให้เร็วขึ้น 2 – 4 เท่า ไม่ว่าจะเป็นการยุติการใช้พลาสติกบางประเภทในกลุ่มพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic), การเพิ่มอัตรารีไซเคิลพลาสติกให้ได้ 50-70%, การขยายขนาดของตลาดเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงผลักดันการนำหลักการ EPR หรือ Extended Producer Responsibility มาปรับใช้ในอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์พลาสติกของตนตลอดวงจรชีวิต

• โจทย์ใหญ่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน
ระบบที่ทำให้ทุกอย่างหมุนเวียนได้จริงหนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ การขาด “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่จะรองรับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับประเทศ รศ.ดร.สัญญา ฉายภาพให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะมีตัวอย่างโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกขนาดเล็กในระดับชุมชน แต่เมื่อต้องการขยายสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้นในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลับยังขาดการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ

“เรายังขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับในระดับประเทศขาดระบบติดตามผลิตภัณฑ์พลาสติกตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางหลังการบริโภคพลาสติกส่วนใหญ่จะหลุดออกจากระบบ ทำให้ไม่เกิดวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขนส่ง การจัดเก็บ ฯลฯ อีกจุดอ่อนสำคัญ ที่ทุกวันนี้เรายังไม่มีตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมกิจกรรมหมุนเวียนทั้งหมด รวมถึงข้อมูลการลดการใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากปิโตรเลียม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญ พบว่า “ปริมาณการรีไซเคิลพลาสติก” ในประเทศไทย ก็ยังมีความแตกต่างกัน บางข้อมูลมีอัตราการรีไซเคิลอยู่ที่ประมาณ 20% บางข้อมูลอาจจะต่ำกว่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง”

• เศรษฐกิจหมุนเวียน : มากกว่ารีไซเคิล
อีกอุปสรรคที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ที่เน้นแค่การรีไซเคิล โดยไม่พิจารณาระบบทั้งหมด จนนำไปสู่ปัญหาการนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศเพื่อมารีไซเคิลในไทย

“ถามว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอยู่ตรงไหน? คนนำเข้ามาอาจมีรายได้จากการรับจ้างกำจัดขยะ หรือได้วัตถุดิบราคาถูกมาใช้ต่อ แต่ในความเป็นจริง เราตามไม่ได้เลยว่า ขยะเหล่านั้นถูกเอาไปทำอะไรบ้าง กำจัดถูกวิธีไหม และที่สำคัญคือ วัตถุดิบเหล่านี้มาจากประเทศอื่น และเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมซ้ำเติม” รศ.ดร.สัญญา ชี้ให้เห็นถึงปัญหา

“แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ว่า เราจะยังคงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ โดยใช้ทรัพยากรซ้ำ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และจัดการของเสียให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง ดังนั้น เศรษฐกิจหมุนเวียนที่แท้จริงจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ขั้นตอนการรีไซเคิล แต่ต้องครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การขนส่ง การรวบรวม การบำบัดมลพิษ ไปจนถึงการสร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมุนเวียน”

อีกหนึ่งประเด็นที่ รศ.ดร.สัญญา ชี้ให้เห็นคือ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัสดุทางเลือกอย่าง “พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ” (Biodegradable Plastic) หลายคนเข้าใจว่าสามารถทิ้งที่ไหนก็ได้ ซึ่งไม่จริง เพราะพลาสติกกลุ่มนี้ ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ แต่ถูกออกแบบมาให้ย่อยสลายได้ในสภาวะจำเพาะ

เช่น ต้องผ่านกระบวนการหมัก หรืออยู่ในสภาวะที่มีแสง หรืออุณหภูมิที่เหมาะสม ดังนั้น ถ้าทิ้งโดยไม่คัดแยก หรือจัดการไม่เหมาะสม ก็สามารถกลายเป็นไมโครพลาสติก ดังนั้น การแยกขยะในครัวเรือนและพฤติกรรมผู้บริโภคจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องส่งเสริม แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญจริง ๆ คือ ความสับสนของผู้บริโภคว่าต้องแยกอย่างไร เพราะผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายสูง และขาดแรงจูงใจชัดเจน ตัวอย่างเช่น ในยุโรปมีระบบค่ามัดจำคืนเมื่อคืนขวด จึงเกิดแรงจูงใจที่เป็นรูปธรรมในระดับผู้บริโภค

• EPR และ PPP Plastic กลไกสำคัญในการขับเคลื่อน
ทั้งนี้ ท่ามกลางโจทย์ความท้าทายที่เผชิญ รศ.ดร.สัญญา มองว่า การจะผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นจริงในระดับประเทศ ต้องอาศัยการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี รวมถึงต้องมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องครบวงจร ตั้งแต่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การจัดเก็บ การบำบัดมลพิษสร้างตลาดเข้ามารองรับ เพื่อให้เกิดเป็นวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์

หนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกในระดับประเทศ คือ หลักการ EPR (Extended Producer Responsibility) หรือการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมบังคับใช้ในปี 2570 โดย รศ.ดร.สัญญา มองว่า EPR จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างทั้ง ‘ภาคบังคับ’ และ ‘ภาคสมัครใจ’ ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เกิดแรงจูงใจเชิงระบบ และเอื้อให้เกิดความร่วมมือในระดับใหญ่

นอกจากนี้ การเชื่อมโยงเป้าหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ากับวาระระดับโลกอย่าง “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Action) จะเป็นอีกแรงจูงใจที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change จะเป็นกลไกที่ทำให้ผู้ประกอบการที่นำพลาสติกกลับเข้าสู่ระบบได้รับ “พลาสติกเครดิต” ซึ่งจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและแรงจูงใจโดยธรรมชาติ

ขณะที่ความพยายามในการเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ซึ่งเริ่มมีการจัดตั้งสมาคม PPP Plastics เพื่อผลักดันการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ถือเป็นทิศทางที่ดีและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้จริงในระดับประเทศ และร่วมผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ

“สำหรับการขับเคลื่อนในระดับประเทศ กลไก EPR จะมีส่วนสร้างทั้ง ‘ภาคบังคับ’ และ ‘ภาคสมัครใจ’ ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน แม้การดำเนินงานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ต้องเติมแรงจูงใจ เป้าหมาย และการบังคับใช้อย่างจริงจัง ผนวกกับพฤติกรรมของผู้บริโภคก็ยังเป็นหัวใจที่สำคัญ จะทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” รศ.ดร.สัญญา กล่าวย้ำในท้ายที่สุด

อุตสาหกรรมพลาสติกไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ การเดินหน้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนต้องอาศัยพลังร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันให้การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ..ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วน ก่อนที่วิกฤตมลพิษพลาสติกจะส่งผลกระทบเกินเยียวยา

Copyright @2021 – All Right Reserved.