ทำความรู้จักกับ “กฎหมาย EUDR” ควบคุมค้า “สินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า” ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย โอกาสหรืออุปสรรคในอนาคต ไทยพร้อมแค่ไหน
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ทำให้เมื่อ 29 มิถุนายน 2566 สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้ประกาศให้ “สินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า” EU Deforestation Regulation: EUDR 7 กลุ่ม ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เนื้อวัว ไม้ กาแฟ โกโก้ และ ถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ เช่น ถุงมือยาง กระดาษ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ต้องผ่านการตรวจสอบ และรายงานที่มาของสินค้า ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หรือการทำให้ป่าเสื่อมโทรม เพื่อควบคุมและลดผลกระทบจากการทำลายป่า
แต่เดิมนั้น กฎหมาย EUDR จะต้องใช้อย่างเต็มรูปแบบ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ซึ่งคาดว่า มาตรการนี้ จะส่งผลกระทบต่อไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารา ไม้ และปาล์มน้ำมัน ที่เป็นสินค้าหลัก ที่ส่งออกไปยังอียู แต่ล่าสุด ทางสหภาพยุโรป ได้ประกาศเลื่อนบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าออกไป 12 เดือน นั่นจึงส่งผลดี เพราะทำให้ผู้ประกอบการไทย มีระยะเวลาเตรียมความพร้อม ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568
ความหมายของ สินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR)
EUDR มีเป้าหมายหลักในการลดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำลายป่า ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่มีการทำลายป่า โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
จากข้อมูลของ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) พบว่า การทำลายป่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 11% ของการปล่อยทั่วโลก การลดการตัดไม้ทำลายป่า จึงมีความสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนั้น องค์กร World Resources Institute ระบุว่า ระหว่างปี 2001-2022 มาเลเซียเจ้าแห่งการส่งออกปาล์มน้ำมัน สูญเสียป่าเขตร้อนไป 1 ใน 5 ทำให้สัตว์หายากประสบภาวะใกล้สูญพันธุ์ในปี 2004
ดังนั้น EUDR จึงถูกออกเป็นกฎหมาย ที่ห้ามไม่ให้ค้าขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า โดยกำหนดให้สินค้าที่เข้าและออกจากสหภาพยุโรป ต้องผ่านเงื่อนไขสำคัญทั้ง 3 ข้อ ได้แก่
- ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า
- มาจากกระบวนการผลิตที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายต่างๆ
- ได้รับการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) ตามขั้นตอนที่สหภาพยุโรปกำหนด
โดยผู้ประกอบการต้องส่งรายงานการตรวจสอบ (Due Diligence Statement) ก่อนจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้า ซึ่งการตรวจสอบและประเมินประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
- การรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น ปริมาณและรหัสของสินค้า ประเทศที่ผลิต พิกัดทางภูมิศาสตร์ของแปลงปลูก (Geolocation) วันที่และระยะเวลาการผลิต รายชื่อซัพพลายเออร์ หลักฐานที่แสดงว่าสินค้าไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลาย และหลักฐานแสดงว่าสินค้ามาจากการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- การประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า และการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิต ซึ่งครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยประเมินออกมาในรูปเอกสารที่มีผลสรุปความเสี่ยง และต้องทบทวนอย่างน้อยทุกปี
- การบรรเทาผลกระทบ ในกรณีที่ตรวจพบความเสี่ยง จะต้องดำเนินการเพิ่มเติม เช่น จัดเตรียมข้อมูล เอกสารผลสำรวจ และมาตรการลดความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ดังนั้น หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า ก็จะไม่สามารถนำเข้าสู่ตลาด EU ได้
สินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า ผลกระทบต่อไทย: ความท้าทายและโอกาส
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกสินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบจาก EUDR โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มน้ำมันปาล์มและยางพารา ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงไปยังอียู การปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น: ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการตรวจสอบและรายงานที่มาของสินค้าเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดใน EUDR
- การแข่งขันลดลง: ผู้ประกอบการรายย่อยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากไม่สามารถผ่านเกณฑ์ EUDR ได้
- โอกาสทางการค้า: หากไทยสามารถปรับตัวและเตรียมความพร้อมได้ดี เช่น การพัฒนาระบบติดตามข้อมูลและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ จะเปิดโอกาสทางการค้าใหม่ในตลาดสหภาพยุโรป และช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตอย่างยั่งยืน
- ความเสี่ยงในการหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทาน: หากไทยถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในด้านการตัดไม้ทำลายป่า อาจส่งผลให้หลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนระดับโลก
จากสถิติ แม้ว่าสัดส่วนสินค้าที่เข้าข่าย EUDR จะคิดเป็นเพียง 8.3% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดไปยังสหภาพยุโรปในปี 2565 หรือเพียง 0.7% ของการส่งออกรวมของไทย แต่สัดส่วนดังกล่าว มีทิศทางเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายสินค้า EUDR จะพบว่า ไทยพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปถึง 8.0% ของมูลค่าการส่งออกสินค้า EUDR ทั้งหมดของไทย ซึ่งสูงกว่าอัตราการพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปในทุกสินค้ารวมกัน ขณะที่ฝั่งสหภาพยุโรปเองก็พึ่งพาการนำเข้าเฉพาะสินค้า EUDR จากไทยราว 0.5% ของการนำเข้าสินค้า EUDR ทั้งหมด ซึ่งมากกว่าอัตราการพึ่งพาสินค้าจากไทยรวมทุกประเภท
สถิติเหล่านี้ สะท้อนว่าการค้าสินค้าภายใต้กฎหมาย EUDR มีความสำคัญกับไทยและสหภาพยุโรป เมื่อเทียบกับทุกประเภทสินค้ารวมกัน และความสำคัญดังกล่าวก็มีทิศทางเติบโตขึ้น ดังนั้น ไทยจึงไม่อาจละเลยผลกระทบของ EUDR ได้
อียู เลื่อนบังคับใช้ EUDR ออกไปอีก 12 เดือน
การเลื่อนบังคับใช้กฎหมาย EUDR ของอียู ออกไปอีก 12 เดือน จากเดิมเริ่มมีผลบังคับใช้ 30 ธันวาคม 2567 นั่นหมายความว่า ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และ SME ยังมีโอกาสปรับตัว นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อียู อยู่ระหว่างการประกาศข้อกำหนดเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว ในส่วนของการขยายระยะเวลาบังคับใช้ในรัฐกิจจานุเบกษา และดำเนินการปรับปรุงคู่มือการบังคับใช้ข้อกำหนด รวมถึงข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการปฏิบัติตามพันธกรณีของข้อกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่า มาตรการดังกล่าวจะบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
กฎหมาย EUDR เป็นมาตรการที่มีความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้ว่าจะมีความท้าทายในการปรับตัว แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย สามารถพัฒนาวิธีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหภาพยุโรปได้ในระยะยาว หากผู้ผลิตสามารถปรับตัวได้ดี และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลกได้
อ้างอิง :
- https://www.salika.co/2024/03/04/thailand-readiness-for-eu-deforestation-regulation/
- https://chainat.moc.go.th/th/content/category/detail/id/112/iid/68238
- https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/eudr-2023
- https://thaipublica.org/2024/03/pridi401-eudr-eu/
- https://regional.moc.go.th/th/content/category/detail/id/161/iid/29127
- https://www.dailynews.co.th/news/4308402/#