”อรรถพล” เร่งเครื่อง “Quick Big Win” เต็มสูบ มุ่งลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนเป็นลำดับแรก หวังกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 700,000 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 10 ล้านตันต่อปี
1.ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ให้ประชาชน
กระทรวงพลังงานมุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและสร้างรายได้ให้ชุมชน ดังนี้
- โครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในครัวเรือน โดยมีเป้าหมายครอบคลุม 90,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ พร้อมมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้ง คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเม็ดเงินลงทุนกว่า 20,250 ล้านบาท ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 280,000 ตันต่อปี
- โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร
ดำเนินการติดตั้งระบบโซลาร์สูบน้ำกว่า 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกว่า 700,000 ไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 600,000 ตันต่อปี
- โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน
ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท สร้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 800,000 ตันต่อปี โดยจะเริ่มประกาศรับซื้อไฟฟ้าภายในเดือนพฤศจิกายน
- โครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ.
เร่งอนุมัติการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ ด้วยกำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเกิดการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 800,000 ตันต่อปี โครงการนี้มีจุดเด่นคือต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรม
กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพลังงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดังนี้
- สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง (Direct PPA):
โครงการนี้ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 65,000 ล้านบาท และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสะอาด
- ระบบไฟฟ้ารองรับเขต EEC:
พัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการพลังงานกว่า 800 เมกะวัตต์ สำหรับธุรกิจ Data Center จำนวน 16 รายในเขต EEC เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยี
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม:
ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม
3.สร้างความยั่งยืนระยะยาวสู่เป้าหมาย Net Zero 2050
กระทรวงพลังงานมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านแนวทางดังนี้
- การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่:
ทบทวนและปรับปรุงแผน PDP เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 พร้อมทั้งสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
- การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS):
เริ่มโครงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บได้ภายในปี 2577 และในช่วง 30 ปี (2577-2607) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี
4.ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
นายอรรถพล เน้นย้ำว่า นโยบาย “Quick Big Win” มีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงภาคอุตสาหกรรม โครงการทั้งหมดที่กล่าวมาคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 700,000 ล้านบาท สร้างงาน สร้างตำแหน่งงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังได้ดำเนินการตรึงราคาก๊าซหุงต้มและลดราคาน้ำมันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และมีแผนหารือเพื่อลดค่าไฟฟ้าในอนาคต โดยจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
นายอรรถพล ย้ำว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่มีระยะเวลาการทำงานจำกัด การกำหนดกรอบ “Quick Big Win” จึงเน้นเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนนโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นผ่านพลังงานหมุนเวียน แต่ยังช่วยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถผลิตไฟฟ้าในต้นทุนที่ถูกลง สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC และรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ