ชาวบ้านผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เฮ! ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ รับฟ้อง CPF เป็นคดีแบบกลุ่ม กรณีปลาหมอคางดำทำลายระบบนิเวศในสมุทรสงคราม เรียกเงินชดเชย CPF กว่า 2.48 พันล้านบาท
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลได้นัดฟังคำสั่งในคดีฟ้องแบบกลุ่ม ซึ่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นตัวแทนยื่นฟ้องให้กับกลุ่มผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นำโดยนายปัญญา โตกทอง พร้อมตัวแทนผู้เสียหายรวม 10 คน ร่วมกับ ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน ประธานอนุกรรมการฝ่ายคดีสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติการสภาทนายความ และนายสิทธิพร ลีลานภาศักดิ์ ทนายความ เข้าร่วมฟังคำสั่งดังกล่าว คดีนี้มีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เป็นจำเลย
คำสั่งศาล: รับฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลมีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้เป็น “คดีแบบกลุ่ม” โดยระบุเหตุผลว่าคำฟ้องมีการบรรยายที่ชัดเจน มีผู้เสียหายจำนวนมาก และทีมทนายความจากสภาทนายความมีประสบการณ์ในการดำเนินคดีด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ศาลกำหนดเงื่อนไขว่าผู้เสียหายที่สามารถเข้าร่วมคดีนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอบางคนที และอำเภอแพรกหนามแดง จังหวัดสมุทรสงครามเท่านั้น
ว่าที่ ร.ต.สมชาย เปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังคำสั่งศาลว่า วันนี้เป็นวันที่เรารอฟังคำสั่งว่าศาลจะรับฟ้องคดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่มหรือไม่ ซึ่งศาลมีคำสั่งรับฟ้องแล้ว โดยให้เหตุผลว่า คำฟ้องมีความชัดเจน และคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก จึงสมควรดำเนินการในรูปแบบคดีกลุ่ม นอกจากนี้ ทีมทนายความของเรามีความเชี่ยวชาญด้านคดีสิ่งแวดล้อม และได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายมาแล้ว เขายังระบุด้วยว่า ขั้นตอนต่อไปคือ รอให้บริษัท CPF ซึ่งเป็นคู่ความ ยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งนี้ภายใน 7 วัน ก่อนที่ศาลจะนัดพร้อมคู่ความอีกครั้ง
เสียงจากผู้เสียหาย: ความหวังและความโล่งใจ
นายปัญญา โตกทอง ตัวแทนกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กล่าวว่า ผมรู้สึกโล่งใจและสบายใจมากที่ศาลรับฟ้องคดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่ม ผมมองว่า ศาลมีความเมตตาต่อผู้เสียหาย เพราะเราได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มานานแล้ว ผมและชาวบ้านหวังว่า ศาลจะเข้าใจความเดือดร้อนของเรา และผมขอขอบคุณทีมทนายความจากสภาทนายความที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างจริงจัง”
เมื่อถูกถามถึงความหวังในการชนะคดี นายปัญญากล่าวว่า เมื่อเราทำงานแล้วก็ต้องมีความหวัง ผมและชาวบ้านหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมในอนาคต เพราะนี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปลาหมอคางดำไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย ผู้ที่นำเข้ามาต้องรับผิดชอบ เราแก้ปัญหานี้เองไม่ได้เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่ ต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม ผมยืนยันว่าเราไม่ได้กลั่นแกล้งใคร แค่ปกป้องตัวเอง และหวังว่าสังคมจะมีความเป็นธรรมจริง ๆ เราจะสู้ต่อไป เพราะไม่ใช่แค่กลุ่มเราเท่านั้นที่เดือดร้อน ยังมีคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำอีกมาก และผมหวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไป
จุดเริ่มต้นปัญหาปลาหมอคางดำ
ปลาหมอคางดำ (Blackchin Tilapia) เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่ใช่ชนิดพันธุ์พื้นถิ่นของประเทศไทย เดิมเชื่อกันว่านำเข้ามาเพื่อการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ แต่ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรสงคราม และพื้นที่ใกล้เคียง ปลาชนิดนี้มีลักษณะดุร้าย และกินอาหารเร็ว ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศ ทำลายพืชน้ำและปลาพื้นถิ่น รวมถึงสร้างความเสียหายต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียผลผลิตและรายได้
กรณีนี้ถูกเชื่อมโยงกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซึ่งถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้นำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในประเทศเพื่อการวิจัย หรือเพาะเลี้ยง แต่ไม่สามารถควบคุมการแพร่กระจายได้ จนกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น อำเภอเมือง อำเภอบางคนที และอำเภอแพรกหนามแดง ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยระบุว่า ปลาหมอคางดำทำลายระบบนิเวศในแหล่งน้ำที่พวกเขาใช้เลี้ยงกุ้ง ปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเดือดร้อนในวงกว้าง
ขณะที่เฟซบุ๊ก BIOTHAI ระบุว่า ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งให้รับฟ้องคดีปลาหมอคางดำแบบกลุ่มที่ประชาชน จ.สมุทรสงครามฟ้อง บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF] เรียกค่าชดเชยประมาณ 2,486 ล้านบาท จากการขาดรายได้ย้อนหลังเป็นเวลา 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2560-2567 ซึ่งหลังจากนี้ตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดเพชรบุรี และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเข้าร่วมรับฟังผลคำสั่งของศาลวันนี้ ระบุว่าทั้ง 2 จังหวัด เตรียมการจะยื่นฟ้องศาลแพ่งในลักษณะเดียวกัน
คดีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบของภาคเอกชนในประเทศไทย การที่ศาลรับฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มแสดงถึงการยอมรับว่าปัญหานี้มีผลกระทบในวงกว้างและต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ขณะที่ผู้เสียหายและทีมทนายความมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ทุกสายตาจับจ้องไปที่คำตอบของบริษัท CPF และกระบวนการยุติธรรมที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้