ทรัมป์ขวางโลกประกาศย้ำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส เดินหน้าผลิตพลังงานฟอสซิล อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.6 องศาเซลเซียส
ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เชื่อว่าโลกร้อนมีจริง เขาเห็นตรงกันกันข้ามกับคนค่อนโลก จึงได้ประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีส กลายเป็นประเด็นช็อกโลกครั้งใหญ่ เนื่องจากสหรัฐฯ คือชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก ในขณะที่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นความพยายามของทั้งโลกที่จะควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
ทรัมป์เคยประกาศให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อ 10 ปีก่อน แต่สหรัฐฯ กลับมาเข้าร่วมข้อตกลงอีกครั้งในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2020 และทรัมป์ก็มาถอนตัวอีกครั้งหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบีดสหรัฐฯ ในสมัยที่สองของเขา ซึ่งทำให้อเมริกาไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ อิหร่าน ลิเบียและเยเมน ที่ไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีสที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2015
ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เชื่อว่าโลกร้อนมีจริง เขาเห็นตรงกันข้ามกับคนค่อนโลก โดยที่เคยเรียกโลกร้อนว่าเป็นเรื่อง “หลอกลวง” และการถอนตัวในครั้งนี้ทรัมป์ยังได้ประกาศเดินหน้าการใช้พลังงานฟอสซิลเต็มกำลัง โดยเฉพาะการอนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
หลังจากประกาศถอนตัวแล้ว สหรัฐจะต้องแจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบอย่างเป็นทางกา โดยที่กระบวนการนี้จะใช้เวลา 1 ปี ถึงจะเสร็จสิ้น นายทรัมป์ เคยนำสหรัฐออกจากข้อตกลงนี้เมื่อตอนที่เขารับตำแหน่งในสมัยแรก กระบวนการใช้เวลากว่า 1 ปี
การถอนตัวของสหรัฐจะส่งผลต่อโลกและประเทศไทยอย่างไร ที่แน่ๆ คำมั่นที่สหรัฐฯจะให้เงินแก่กองทุนภูมิอากาศสีเขียว 3,000 ล้านดอลลาร์จะถูกระงับ ไทยก็จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้น
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวตอนหนึ่งว่า การประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้สร้างความประหลาดใจเนื่องจากทรัมป์ยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้ว โดยการถอนตัวอย่างเป็นทางการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี หลังจากการยื่นเรื่อง ซึ่งระหว่างนี้สหรัฐฯยังคงเป็นภาคีในข้อตกลงดังกล่าว (1)
ผลกระทบจากการถอนตัวของสหรัฐฯ จะทำให้การสนับสนุนทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนาที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคโจ ไบเดน ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเงินทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) ขององค์การสหประชาชาติอาจถูกระงับ ส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนกองทุนอยู่ประมาณ 30%
อีกหนึ่งผลกระทบที่ตามมาก็คือ การลดความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแนวทางการลงทุนในพลังงานสะอาดและโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในไทยที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐของสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบ
ดร.พิรุณ มองว่า นโยบายของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อการลงทุนและการดำเนินนโยบายภายใน โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง อย่างเช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) แต่นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภมิอากาศในอีกกว่า 26 มลรัฐของสหรัฐฯ ก็ยังเดินหน้าการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง
อย่างเช่น แคลิฟอร์เนียซึ่งออกกฎหมายเข้มงวดกว่ากฎหมายของรัฐบาลกลาง ส่งผลให้ยังคงมีการดำเนินการในระดับท้องถิ่นและระดับภาคเอกชนต่อไป ขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft Google และ Amazon ก็ยังคงยืนยันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากต้องแข่งขันในตลาดโลก ดังนั้นจึงต้องติดตามการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลกลางและการดำเนินงานของมลรัฐ รวมถึงภาคเอกชนว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป
สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้กำหนดไว้ในปี 2035 ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซลง 61-66% จากระดับปี 2005 หากนโยบายทรัมป์ทำให้การลดการปล่อยก๊าซล่าช้า อาจส่งผลต่อความพยายามของประชาคมโลกในการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส หรือทำให้การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสทำได้ยากขึ้น โดยที่ปัจจุบันสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
อธิบดีกรมลดโลกร้อน กล่าวด้วยว่า ไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับผลที่จะตามมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยต้องสร้างขีดความสามารถให้กับภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถแข่งขันและเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงอาจต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 ขณะที่มาตรการของสหราชอาณาจักรมีจะมีผลบังคับใช้ในปี 2570
ทั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส แต่ประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป จีน และอินเดีย ยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่ โดยหลังจากจากนี้ศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Technology ที่สหรัฐฯ ต้องการเป็นผู้นำก็จะย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่สหภาพยุโรปและสแกนดิเนเวียน รวมถึงออสเตรเลียที่ต้องการเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาด้านนี้ (1)
การถอนตัวครั้งนี้จะทำให้สหรัฐฯ เป็นอีกประเทศที่เข้าไปอยู่กลุ่มเดียวกับอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ซึ่งรวมเป็น 4 ประเทศในโลกที่ไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีส ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ นักเคลื่อนไหว และพรรคเดโมแครตได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่จะทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น และส่งผลเสียต่อคนงานชาวอเมริกัน (2)
ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการมุ่งมั่นการเดินหน้าผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันหลังให้กับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลมผลิตไฟฟ้า
นอกจากนั้นจะส่งผลให้สหรัฐฯ ยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลง 61% จากระดับปี 2005 ภายในปี 2030 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐฯ อาจลดลงเพียง 24 – 40% จากเป้าหมายข้างต้น แต่ในความเป็นจริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ จะต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงในอัตราที่เร็วขึ้นเกือบ 10 เท่าต่อปี เมื่อเทียบกับการลดลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี แม้สหรัฐฯ จะไม่ได้เป็นภาคีในข้อตกลงปารีส แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือที่รู้จักกันในชื่อ COP ซึ่งจะประชุม COP30 ที่บราซิลในเดือน พ.ย. 2025 และประเทศต่างๆ ก็จะประกาศคำมั่นใหม่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การศึกษาล่าสุดโดย Climate Action Tracker ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยพบว่า หากทุกประเทศทำตามคำมั่นที่ได้ยื่นอย่างเป็นทางการในปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.6 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมภายในสิ้นศตวรรษ ซึ่งสูงกว่าระดับ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีสกำหนด
“ความไร้ความรับผิดชอบของทรัมป์ไม่น่าแปลกใจเลย” คริสเตียนา ฟิเกเรส นักการทูตชาวคอสตาริกาและหนึ่งในผู้สร้างข้อตกลงปารีสในปี 2015 กล่าว “ในที่สุดทรัมป์จะไม่อยู่ แต่ประวัติศาสตร์จะจดจำเขาและกลุ่มเพื่อนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลของเขาอย่างไม่ให้อภัย” (2)
อ้างอิง:
(1) https://tna.mcot.net/environment-1477409
(2) https://www.nytimes.com/2025/01/20/climate/trump-paris-agreement-climate.html