ที่ดินของ คทช. คืออะไร เมื่อรัฐ สั่งตรวจสอบเกษตรกรทั่วประเทศ ที่ได้รับสิทธิที่ดินทำกินจาก คทช. หากพบโดนขายเปลี่ยนมือ ถือว่าผิดเงื่อนไข ต้องถูกยึดพื้นที่คืน และจะไม่ได้สิทธิใดๆ อีกเลย
หลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ตรวจยึดสวนทุเรียนในพื้นที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ที่ดินดังกล่าวถูกจัดสรรให้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อนำไปกระจายแก่เกษตรกร แต่กลับพบว่า มีบริษัทเอกชนเข้ามายึดครอง และพัฒนาเป็นสวนทุเรียน ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของนโยบายอย่างชัดเจน
จากเหตุการณ์นี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรัฐ ได้สั่งการให้กรมป่าไม้ ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะประธาน คทช. จังหวัด เพื่อให้ตรวจสอบที่ดินทำกินทั่วประเทศ หากพบว่ามีการซื้อขาย หรือเปลี่ยนมือที่ดินที่ได้รับจาก คทช. จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยนำพื้นที่ป่าคืน และบังคับใช้กฎหมาย 100% โดยไม่มีข้อยกเว้น
ขณะนี้ มีการทำหนังสือไปยังประธาน คทช. จังหวัด เพื่อตรวจสอบเกษตรกรทั่วประเทศที่ได้รับสิทธิที่ดินทำกินจาก คทช. โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ และรักษาสิทธิของชุมชนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนหรือต่างชาติที่เข้ามาหาประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศ
“สิทธิ” ในที่ดินของรัฐตามนโยบาย คทช.
ในประเทศไทย ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ยากไร้ เป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมีเป้าหมายหลัก คือการบริหารจัดการที่ดินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม หนึ่งในนโยบายสำคัญของ คทช. คือการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงที่ดินของรัฐเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพและอยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม
การตรวจยึดสวนทุเรียนในพื้นที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ที่พบว่า มีบริษัทเอกชนเข้ามายึดครองที่ดินที่จัดสรรโดย คทช. ได้จุดประกายให้เกิดการทบทวนและตรวจสอบการใช้ที่ดินทั่วประเทศ
ที่ดิน คทช. คืออะไร
คทช. เริ่มต้นจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน” โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อน โครงการนี้มุ่งแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ การไร้ที่ดินทำกิน และการลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าอนุรักษ์ ผ่านการจัดสรรที่ดินในรูปแบบแปลงรวมให้แก่ชุมชนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด โดยที่ดินที่จัดสรรให้ คทช. มีจำนวนถึง 7.2 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสทำกิน โดยกำหนดให้แต่ละครัวเรือนสามารถถือครองได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่เกินรายละ 20 ไร่
สิทธิที่ประชาชนได้รับ
“สิทธิ” ในที่ดินของรัฐตามนโยบาย คทช. ไม่ใช่การมอบกรรมสิทธิ์ หรือโฉนดที่ดินให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยตรง แต่เป็นการอนุญาตให้ประชาชน หรือชุมชน สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
- สิทธิในการใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและที่อยู่อาศัย
ประชาชนที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ของ คทช. จะได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินของรัฐเพื่อทำการเกษตร เช่น ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่เหมาะสม รวมถึงการอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรร โดยที่ดินมักอยู่ในรูปแบบแปลงรวมของชุมชน และกำหนดให้แต่ละครัวเรือนถือครองได้ไม่เกิน 20 ไร่
- ความมั่นคงในการทำกิน
การได้รับอนุญาตนี้ช่วยให้เกษตรกรและผู้ยากไร้มีความมั่นใจในการประกอบอาชีพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขับไล่หรือดำเนินคดีจากการบุกรุกที่ดินของรัฐ สิทธินี้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต
- การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน
ชุมชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบน้ำ ไฟฟ้า หรือถนน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน
- เอกสารแสดงสิทธิ
ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจะได้รับเอกสาร หรือหนังสืออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันสิทธิในการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนั้นๆ แม้ไม่ใช่โฉนดที่ดิน แต่เอกสารนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงแหล่งทุน หรือการสนับสนุนจากภาครัฐได้ในบางกรณี
- เงื่อนไขและข้อจำกัด
ถึงแม้ว่าประชาชนจะได้รับ “สิทธิ” ดังกล่าว แต่ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้ที่ดินสอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบาย คทช. ดังนี้:
- ห้ามโอนหรือขายสิทธิ
ที่ดินที่ได้รับการจัดสรรจาก คทช. ไม่สามารถซื้อขาย หรือโอนให้ผู้อื่นได้ หากพบว่ามีการเปลี่ยนมือ โดยเฉพาะไปสู่นายทุนหรือผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกรตามวัตถุประสงค์ จะถือว่าผิดเงื่อนไข และที่ดินจะถูกยึดคืนทันที พร้อมทั้งสูญเสียสิทธิในการขอรับการจัดสรรที่ดินในอนาคต
- การใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์
ผู้ได้รับสิทธิต้องใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร หรืออยู่อาศัยเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น ห้ามเผาที่ดิน หรือต้องปลูกต้นไม้ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
- การบริหารจัดการในรูปแบบชุมชน
ที่ดินที่จัดสรรส่วนใหญ่เป็นแปลงรวม โดยชุมชนต้องบริหารจัดการร่วมกันผ่านกลไก เช่น สหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นที่ คทช. เห็นชอบ สิทธิของแต่ละบุคคลจึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือภายในชุมชนด้วย
ทั้งนี้ “สิทธิ” ในที่ดินของรัฐตามนโยบาย คทช. เป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ยากไร้เข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สร้างความมั่นคงในอาชีพและชีวิต อย่างไรก็ตาม สิทธินี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบในการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและประเทศ โดยไม่ขัดต่อเงื่อนไขที่กำหนด กรณีตรวจยึดสวนทุเรียนใน จ.ฉะเชิงเทรา และการดำเนินการตรวจสอบทั่วประเทศ เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐในการปกป้องสิทธิของประชาชน และป้องกันไม่ให้ที่ดินตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนที่ไม่ใช่ผู้รับประโยชน์ตามเจตนารมณ์ นโยบายนี้จึงไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ดิน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่เป็นธรรมยิ่งขึ้นในประเทศไทย