งานวิจัยเผย การเคี้ยวหมากฝรั่ง ทั้งแบบสังเคราะห์และธรรมชาติ ปล่อยไมโครพลาสติกนับร้อยอนุภาคต่อกรัม อาจนำไปสู่การสะสมในร่างกายถึง 30,000 อนุภาคต่อปี
การวิจัยที่นำเสนอในการประชุมของสมาคมเคมีอเมริกัน (American Chemical Society) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับหมากฝรั่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่า เป็นนิสัยประจำวันอันไม่เป็นอันตรายและอาจมีประโยชน์ เช่น ช่วยลดความเครียดหรือเพิ่มสมาธิ
การศึกษานำร่องจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ระบุว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจนำไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ชุมชนด้านการดูแลสุขภาพ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการสัมผัสไมโครพลาสติกในระยะยาว การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความแพร่หลายของไมโครพลาสติกที่พบในสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ บรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่หมากฝรั่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่มักถูกมองข้าม
หมากฝรั่งธรรมชาติ-หมากสังเคราะห์ ปล่อยไมโครพลาสติกใกล้เคียงกัน
การศึกษานี้ เป็นการศึกษาขั้นต้น ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นเพียงการนำเสนอในการประชุมสองปีครั้งของสมาคมเคมีอเมริกัน ได้ทำการทดสอบหมากฝรั่งทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติ โดยวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งสังเคราะห์ 5 ชนิด ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด และหมากฝรั่งธรรมชาติ 5 ชนิด ที่ทำจากโพลิเมอร์จากพืช
ผลการวิจัยพบว่า หมากฝรั่งทั้งสองประเภทปล่อยไมโครพลาสติกในปริมาณที่ใกล้เคียงกันเมื่อถูกเคี้ยว โดยเฉลี่ยแล้ว หมากฝรั่ง 1 กรัม จะปล่อยไมโครพลาสติกประมาณ 100 อนุภาค และสำหรับหมากฝรั่งชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 6 กรัม อาจปล่อยไมโครพลาสติกได้ถึง 3,000 อนุภาคต่อชิ้น หากคำนวณจากพฤติกรรมการเคี้ยวหมากฝรั่งโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป ที่เคี้ยวประมาณ 160 ถึง 180 ชิ้นต่อปี อาจหมายถึงการรับไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายถึง 30,000 อนุภาคต่อปี
หมากฝรั่งปล่อยไมโครพลาสติกใน 8 นาทีแรก
ไมโครพลาสติกที่พบ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยโพลีโอเลฟิน โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) และโพลีสไตรีน ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในหมากฝรั่ง ทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติ โดยอนุภาคเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาผ่านการเสียดสีจากการเคี้ยวมากกว่าปฏิกิริยาของเอนไซม์ในน้ำลาย โดย 94% ของไมโครพลาสติกจะถูกปล่อยออกมาภายใน 8 นาทีแรกของการเคี้ยว
อย่างไรก็ตาม การตีความผลการศึกษานี้ ต้องพิจารณาข้อจำกัดหลายประการ ประการแรก การศึกษานี้เป็นเพียงการศึกษานำร่องที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และยังไม่มีการทำซ้ำเพื่อยืนยันผลลัพธ์ นอกจากนี้ นักวิจัยวัดความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในน้ำลาย ไม่ใช่ในกระแสเลือด จึงไม่สามารถสรุปได้ว่า อนุภาคเหล่านี้จะสะสมในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะของร่างกายหรือไม่ การศึกษายังไม่สามารถตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กกว่า 20 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่อาจถูกกำจัดโดยตับได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นขนาดที่น่ากังวลมากกว่าเมื่อมีการสะสมในร่างกาย
นอกจากนี้ การเปรียบเทียบปริมาณไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่งกับแหล่งอื่นๆ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ซึ่งพบว่ามีอนุภาคไมโครพลาสติกถึง 240,000 อนุภาคต่อลิตร ทำให้เห็นว่า หมากฝรั่งอาจไม่ใช่แหล่งที่มาหลักของการสัมผัสไมโครพลาสติก
แต่คำถามที่ตามมาคือ เราควรเลิกเคี้ยวหมากฝรั่งหรือไม่?
คำตอบขึ้นอยู่กับมุมมองต่อความเสี่ยงและประโยชน์ของการเคี้ยวหมากฝรั่ง สำหรับผู้ที่ยังต้องการเคี้ยวหมากฝรั่ง วิธีหนึ่งที่อาจช่วยลดการสัมผัสไมโครพลาสติก คือการเคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นเดียวเป็นเวลานานขึ้น เนื่องจากไมโครพลาสติกส่วนใหญ่จะถูกปล่อยออกมาในช่วง 2 นาทีแรกของการเคี้ยว การหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนชิ้นหมากฝรั่งบ่อยๆ อาจช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายได้
การที่ค้นพบไมโครพลาสติกจากการเคี้ยวหมากฝรั่งนี้ ทำให้เกิดความตระหนักมากขึ้นถึงผลกระทบจาก “มลพิษพลาสติก” ที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีผลการศึกษาถึง “ผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ” จากไมโครพลาสติกที่มาจากการเคี้ยวหมากฝรั่ง และจริงๆ ถึงมี ก็อาจเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีปริมาณไม่มาก แต่การที่ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลายาวนาน ก็เป็นที่กังวลกันอยู่ในแง่มุมของสาธารณสุข ว่าอาจจะเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังของระบบต่างๆ ของร่างกายได้
อ้างอิง :
- https://www.perioimplantadvisory.com/clinical-tips/article/55279447/microplastics-in-chewing-gum-and-practical-ways-to-reduce-exposure?fbclid=IwY2xjawMRfhxleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFCWHlsb3hrTTY1R0FtaWk5AR4R9s6-aFZvEiVmPmXu_sObWTspSl7m46Xka6zW6mNS56Uy6zzwhO12y9hUYw_aem_VMAZN4N4qVaV2g3PvqNJyw
- https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant?locale=th_TH