จีนทุ่มงบ 5.5 ล้านล้านบาท สร้าง “เขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว” หวังผลิตไฟฟ้าทำลายสถิติโลก แต่ต้องเผชิญความท้าทายด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการเมืองระหว่างประเทศ
เขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว (Motuo Hydropower Station) เป็นโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจีนเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเขตปกครองตนเองทิเบต เริ่มต้นจากเทือกเขาหิมาลัย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ด้วยงบประมาณมหาศาล และเป้าหมายในการเพิ่มพลังงานสะอาด โครงการนี้ถูกมองว่าเป็น “โครงการแห่งศตวรรษ” แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวล ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป (Yarlung Tsangpo) บริเวณเมืองหลินจือ เขตปกครองตนเองทิเบต ทางตะวันออกของที่ราบสูงทิเบต โครงการนี้ประกอบด้วยสถานีไฟฟ้าพลังน้ำแบบขั้นบันได 5 แห่ง ด้วยงบประมาณการก่อสร้างราว 1.2 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 5.5 ล้านล้านบาท) คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 10 ปี และเมื่อเสร็จสมบูรณ์จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 300,000 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าเขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) ที่เป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันถึงสามเท่า
หลักการทำงานเขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว
เขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว ใช้ประโยชน์จากลักษณะภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป ซึ่งในบางช่วงมีความสูงลดลงถึง 2,000 เมตรภายในระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร ทำให้เกิดพลังงานศักย์มหาศาลสำหรับการผลิตไฟฟ้า ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ จะถูกส่งไปยังพื้นที่อื่นๆ ของจีนตามนโยบาย “ส่งพลังงานจากตะวันตกไปตะวันออก” (West-to-East Power Transmission) พร้อมทั้งสนับสนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าในท้องถิ่นของทิเบต
เหตุใดจีนจึงต้องการสร้างเขื่อนนี้?
แม่น้ำยาร์ลุงซางโป ซึ่งมีความยาว 2,900 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเทือกเขาหิมาลัย และไหลผ่านหุบเขาที่กล่าวกันว่าเป็นหุบเขาลึกที่สุดบนบกในโลก ในบางช่วง แม่น้ำมีความสูง 2,000 เมตร (6,561 ฟุต) ในระยะ 50 กิโลเมตร (31 ไมล์)
จีนอ้างถึงประโยชน์ของเขื่อนเม่อตั๋ว คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 300 ล้านตันต่อปี สนับสนุนเป้าหมายของจีนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 และด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าที่สูงถึง 70 กิกะวัตต์ เขื่อนนี้จะช่วยตอบสนองความต้องการพลังงานของจีน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นเหตุผลเบื้องหลังโครงการมูลค่ามหาศาล
แต่ถึงแม้ว่า เขื่อนเม่อตั๋วจะมีศักยภาพสูง แต่ก็เผชิญกับความท้าทายและข้อกังวลหลายประการ โดยเฉพาะผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากแม่น้ำยาร์ลุงซางโป ตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง การก่อสร้างเขื่อนอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น การเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำและการรบกวนสัตว์น้ำ นอกจากนี้ พื้นที่ก่อสร้างอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงหากเกิดภัยพิบัติ
นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า เขื่อนอาจสร้างความเสียหายถาวรต่อหุบเขายาร์ลุงซางโป ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดของจีน
ความตึงเครียดระหว่างประเทศ
อินเดียและบังกลาเทศแสดงความกังวลว่า เขื่อนอาจส่งผลต่อการไหลของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป สร้างความเสี่ยงต่อการชลประทาน การประมง และความมั่นคงด้านน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง อินเดียเปรียบเขื่อนนี้ว่าเป็น “ระเบิดน้ำ” ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียอาจตึงเครียดขึ้น เนื่องจากแม่น้ำไหลผ่านพื้นที่พิพาท เช่น รัฐอรุณาจัลประเทศ ซึ่งทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์
รัฐบาลจีนยืนยันว่า เขื่อนเม่อตั๋วจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม หรือแหล่งน้ำปลายน้ำ โดยเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ระบบนิเวศในระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ จีนระบุว่า มี “สิทธิโดยชอบธรรม” ในการพัฒนาเขื่อนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม อินเดียและบังกลาเทศเรียกร้องให้จีนเพิ่มความโปร่งใส และปรึกษาหารือกับประเทศปลายน้ำเพื่อลดผลกระทบ
อนาคตของเขื่อนพลังน้ำเม่อตั๋ว
เขื่อนเม่อตั๋วถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของจีนสู่พลังงานหมุนเวียนและการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการขึ้นอยู่กับการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างอินเดียและบังกลาเทศ ในระยะยาว
อ้างอิง :
- https://www.dw.com/en/china-begins-construction-on-worlds-largest-dam-in-tibet/a-73349445
- https://www.theguardian.com/world/2025/jul/21/china-starts-building-world-biggest-hydropower-dam-yarlung-tsangpo-river-tibet