“ชั้นโอโซน” ความสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม ทำไมมันถึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต หลังนาซา เผยข่าวดี ชั้นโอโซน ฟื้นตัวต่อเนื่อง ไปหาคำตอบกัน
นับเป็นข่าวดี เมื่อทางองค์การนาซา และสำนักงานบริหารชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ รายงานว่า ปัจจุบัน “ชั้นโอโซน” กำลังฟื้นตัวดีขึ้น โดยตอนนี้รูโอโซนเล็กที่สุดในรอบ 5 ปี และมีแนวโน้มที่จะปิดได้ภายในอีก 40 ปี หรือภายในปี 2066 ซึ่งเป็นผลมาจากที่ทุกประเทศทั่วโลก ร่วมกันยุติการผลิตสารเคมี ที่ทำลายชั้นโอโซนในชั้นบรรยากาศของโลก
ชั้นโอโซน: ความสำคัญและบทบาทในการปกป้องโลก
ชั้นโอโซน (Ozone Layer) เป็นส่วนหนึ่งของชั้นบรรยากาศโลก ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก โอโซนประกอบด้วย ออกซิเจน 3 อะตอม เป็นก๊าซสีฟ้าจางๆ มีกลิ่นฉุน เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจหากสูดเข้าไปในปริมาณมาก ทั่วไปเราจะใช้โอโซนในการทำความสะอาดฆ่าเชื้อในอากาศ กำจัดกลิ่นตามอาคาร หรือในรถ แต่สำหรับโอโซนในชั้นบรรยากาศระดับสตราโตสเฟียร์ ที่ระดับความสูงประมาณ 10 ถึง 50 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน โดยเฉพาะในช่วง 20-30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของโอโซนมากที่สุด
บทบาทสำคัญของชั้นโอโซน ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะรังสี UV-B หากร่างกายมนุษย์ ได้รับรังสีนี้มากเกินไป ก็จะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง โรคต้อกระจก และผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้ง การรักษาอุณหภูมิ เพราะการดูดซับรังสี UV ยังช่วยรักษาอุณหภูมิในบรรยากาศ ทำให้สภาพภูมิอากาศบนโลกมีความเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิต
ชั้นโอโซนถูกทำลาย
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 เป็นต้นมา ชั้นโอโซนในชั้นบรรยากาศได้ถูกทำลายไปมากจากการกระทำของมนุษย์เรานั่นเอง หลักๆ คือการใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ในเครื่องปรับอากาศ หรือ ตู้เย็น และจากก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเกิดจาก เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ เครื่องบิน รวมถึงการผลิตไฟฟ้า โดยบริเวณที่เกิดการลดลงของชั้นโอโซนมากที่สุด คือ พื้นที่บริเวณขั้วโลกใต้ รวมถึงประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ “หลุมโอโซน” ที่ทำให้รังสี UV สามารถส่องมายังพื้นผิวโลกได้โดยตรง
โดยสถิติรูโอโซนที่ใหญ่ที่สุดนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2543 โดยใหญ่กว่าตัวเลขปัจจุบันถึง 50% ซึ่งเป็นผลมาจากสารเคมีที่ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ และสามารถวัดได้ว่า รังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น 10 เท่า และชั้นโอโซนเหนือแอนตาร์กติกา ได้ลดลง 40%
ทั้งนี้ พบว่า หากโอโซนในบรรยากาศในชั้นสตราโตสเฟียร์ลดลงเพียงร้อยละ 1 จะมีผลทำให้อัตราการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6-0.8 นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ซึ่งพบว่าเป็นกันมากในหมู่คนผิวขาว รวมทั้งทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ชึ่งทำให้เกิดโรคติดต่อต่างๆ มากขึ้น นอกจากรังสี UV-B จะมีผลต่อมนุษย์แล้ว สัตว์และพืชก็ได้รับผลกระทบจากรังสีดังกล่าวนี้เช่นกัน โดยรังสี UV-B จะไปทำลายการเจริญเติบโตของสัตว์ในช่วงแรก และทำให้แพลงตอน ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของสัตว์น้ำในกระบวนการห่วงโซ่อาหารในน้ำ มีปริมาณลดลง ส่วนผลกระทบต่อพืชนั้น พบว่า รังสี UV-B จะทำให้การเจริญเติบโตของพืชลดลง
ชั้นโอโซน ฟื้นตัว
แต่นับตั้งแต่ปี 2530 ที่นานาประเทศได้ร่วมมือกันลงนามพิธีสารมอนทรีออล เพื่อลด และเลิกการใช้สารทำลายโอโซน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ปริมาณโอโซนก็กลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุด ทางนาซา เผยว่า ช่องโหว่ชั้นโอโซนบริเวณขั้วโลกกำลังฟื้นตัวดีขึ้น มีขนาดเล็กลง ซึ่งเล็กที่สุดในรอบ 5 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านตารางกิโลเมตร และอาจปิดตัวภายในอีก 40 ปี
รายงานที่นำเสนอที่การประชุม American Meteorological Society ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อปี 2565 ระบุว่า การฟื้นตัวของชั้นโอโซนนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ ปริมาณโอโซนเฉลี่ยทั่วโลกที่สูง 18 ไมล์ หรือ 30 กิโลเมตรในชั้นบรรยากาศจะไม่กลับไปสู่ระดับก่อนการเบาบางในปี ค.ศ. 1980 จนกว่าจะถึงปี 2040 และจะไม่กลับสู่ระดับปกติในอาร์กติกจนกว่าจะถึงปี 2045
ความสำคัญของการอนุรักษ์ชั้นโอโซน
การปกป้องชั้นโอโซนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ การลดการใช้สารเคมีที่ทำลายโอโซน และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ชั้นโอโซนฟื้นฟูและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
อ้างอิง :
- https://www.tnnthailand.com/news/earth/186245/
- https://www.voathai.com/a/un-says-ozone-layer-slowly-healing-hole-to-mend-by-2066-/6913313.html
- https://th.meteorologiaenred.com/
- https://www.greenpeace.org/thailand/story/8704/ozone-hole/