‘ภาคประชาชน’ กลไกสำคัญ ฝ่าทางตัน ฝุ่นพิษ PM2.5

by Pom Pom

 

 

วงถก ฝ่าทางตัน วาระฝุ่น 2568 ภาคประชาชน เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อน แก้ไขปัญหา “ฝุ่น PM2.5” หนุนเสริมงานภาครัฐ ระหว่างรอกฎหมาย เพื่อการแก้ไขที่ยั่งยืน

 

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ไทยพีบีเอส และภาคีเครือข่ายจัดเวทีนโยบายสาธารณะ “Policy Dialogue ฝ่าทางตัน วาระฝุ่น 2568” เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และหมอกควันไฟป่าในประเทศไทย การสนทนาในครั้งนี้ นำเสนอแนวทางการรับมือ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นควันมีความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

 

ดร. เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล เปิดเผยว่า ภาคประชาชนและภาควิชาการ ได้ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์ม tamfire.net เพื่อติดตามการเกิดไฟป่า ซึ่งพบว่า ไฟป่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝุ่นควันในประเทศ โดยในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการจุดไฟป่าอย่างน้อย 3,000-4,000 กอง และบางกองมีขนาดใหญ่ถึง 100,000 ไร่ ส่งผลให้การเผาในที่โล่งเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มมลพิษทางอากาศ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการเฝ้าระวังแสดงให้เห็นว่า ภาคประชาชนสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะในภาคเหนือ ซึ่งมีการยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาลจนได้รับการตอบรับเป็นนโยบาย

 

“หลังจากที่รัฐบาลรับเป็นนโยบายไปแล้ว เรื่องของไฟป่าซึ่งเป็นส่วนของกรมอุทยานฯ เดิมทีก่อนปี 2562 มีการรายงานไฟป่าอยู่ที่ราว 1.6 แสนไร่ แต่จริงๆ มีประมาณ 10 ล้านไร่ หรือรายงานน้อยไปเป็นร้อยเท่า ซึ่งหลังจากที่ภาคประชาชนค่อยๆ เปิดเรื่องพวกนี้ออกมา ความจริงใจในการลงตัวเลขจริงก็เกิดขึ้น ตัวเลขที่กรมอุทยานฯ ทำเองเมื่อปี 2566 จึงมีไฟป่าอยู่ที่ 12.8 ล้านไร่ เกิดเป็นเป้าหมายที่มีตัวเลขชัดเจนว่าในปี 2567 จะต้องลดลงให้ได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็ลดลงได้เกือบตามเป้า มาในปี 2568 ก็บอกจะลดให้ได้อีก 25% ซึ่งก็ต้องรอดูว่าทำได้หรือไม่ แต่เราได้เห็นถึงความจริงใจและมุ่งมั่น”

 

การใช้ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจหรือ Data-Driven Policy เป็นกลไกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน นายเจนกล่าวว่า การใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน การใช้ข้อมูลและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดร. เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล

นายไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขมลพิษอากาศ (ศวอ.) กล่าวถึงบทเรียนจากการใช้ข้อมูลในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นการออกแบบมาตรการที่มีความชัดเจนและเหมาะสมกับสาเหตุของฝุ่นควันในแต่ละพื้นที่ เช่น การเผาในที่โล่ง การเกษตร การขนส่ง และการก่อสร้าง ซึ่งต่างมีต้นตอของมลพิษที่แตกต่างกัน จึงต้องใช้วิธีการที่หลากหลายในการจัดการ

ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขมลพิษอากาศ (ศวอ.)

ในส่วนของกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวถึงโครงการ “นักสืบฝุ่น” ที่ใช้ข้อมูลทางวิชาการในการวิเคราะห์แหล่งกำเนิดฝุ่นควันในพื้นที่ โดยพบว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นควันในกรุงเทพฯ มาจากรถยนต์และการเผา นอกจากนี้ กทม. ยังได้ร้องขออำนาจเพิ่มเติมจากรัฐบาลในเรื่องการจัดการมลพิษภายในพื้นที่ เช่น การตรวจจับรถควันดำ และตรวจโรงงานอุตสาหกรรม

 

“เราพยายามค้นกฎหมายทุกอย่างว่าอันไหนทำได้ และพยายามใช้ข้อมูลเข้ามาพัฒนาการทำงานเพิ่มขึ้นตลอด แต่ปัญหาฝุ่นควันก็ไร้พรมแดนและมีที่มาหลากหลาย จำเป็นต้องทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน หรือแม้แต่ กทม. เองก็ยังต้องทำงานร่วมกันระหว่างหลายสำนัก และทุกเขต แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่า การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมนั้นสำคัญที่สุด อย่างสภาลมหายใจที่มีการทำงานในด้านข้อมูล หรือแม้แต่ข้อมูลจากประชาชนทั่วไปผ่านแพลตฟอร์มทราฟฟี่ฟองดูว์ เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ดำเนินการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เหล่านี้คือกลไกที่จะช่วยให้เข้าใจปัญหา และแก้ไขได้ถูกจุด บนการมีส่วนร่วม”

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กทม.

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้เน้นย้ำว่า ปัญหาฝุ่นควันเป็นวิกฤตสำคัญด้านสุขภาพที่ประชาชนต้องเผชิญ และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการใช้ข้อมูลวิชาการในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจะช่วยให้สามารถหาทางออกที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

สรุปแล้ว การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ต้องการการร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่สามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลในการสนับสนุนการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น หรือการทำงานร่วมกับภาครัฐในการจัดการกับแหล่งกำเนิดมลพิษ การแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจึงไม่ควรรอการออกกฎหมายใหม่ แต่ต้องเริ่มจากการใช้กฎหมายที่มีอยู่และพลังของสังคมในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว

Copyright @2021 – All Right Reserved.