การศึกษาใหม่พบว่ามีเพียง 0.18% ของพื้นที่โลกและ 0.001% ของประชากรโลกเท่านั้นที่สัมผัสระดับ PM2.5 ต่ำกว่า 15 มคก./ลบ.ม. ตามเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศ PM2.5 ใหม่ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ
การศึกษาใหม่พบว่ามีเพียง 0.18% ของพื้นที่โลกและ 0.001% ของประชากรโลกเท่านั้นที่สัมผัสระดับ PM2.5 ต่ำกว่า 15 มคก./ลบ.ม. ตามเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศ PM2.5 ใหม่ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ
วันนี้ (7 มี.ค. 2566) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ช่วงเวลา 05.00-07.00 น. ตรวจวัดได้ 58-93 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 72.6 มคก./ลบ.ม. และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 69 พื้นที่ในกรุงเทพฯ
คนส่วนใหญ่คิดว่ามลพิษอากาศเป็นสิ่งที่มาจากภายนอก เช่น โรงงาน สถานก่อสร้าง หรือท่อไอเสียยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วอากาศภายในบ้านหรือในที่ทำงานก็มีโอกาสเป็นเป็นมลพิษได้เช่นกัน ซึ่งมลพิษอากาศภายในอาคารอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมากกว่ามลพิษทางอากาศภายนอกอาคารด้วยซ้ำ
มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อ ไม่ว่าจะเป็น โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งปอด และอาจรวมถึงโรคสมองเสื่อม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาทั่วโลกพยายามปรับปรุงคุณภาพอากาศภายนอกอาคาร เช่น PM 2.5 แต่คุณภาพอากาศภายในอาคารกลับถูกมองข้ามแม้ว่าอาจทำให้เสียชีวิตได้เกือบเท่าๆ กัน
การสัมผัสไอเสียจากดีเซลเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้การเชื่อมต่อการทำงานของสมองส่วน DMN ลดลง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น หรือรักษาอาการซึมเศร้า และย้ำคิดย้ำทำ
การศึกษาใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมพบว่าการบริโภคปลาน้ำจืดหนึ่งครั้งต่อปีอาจเท่ากับการดื่มน้ำที่มีสารเคมี PFAS เป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรบรับเคมีอันตรายในปริมาณที่สูงและอันตราย