การปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียว แนวทางการสร้าง ‘ปอดของโลก’ ที่ยั่งยืน

by Chetbakers

หลายเมืองให้ความสำคัญกับการปลูกป่าหรือเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อรับมือโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งวิธีการของแต่ละเมืองล้วนมีความน่าสนใจ

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและการปลูกป่า ไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกเพื่อความยั่งยืนในอนาคต แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายประเทศ หลายเมืองใหญ่ของโลกเริ่มตระหนักและเห็นความสำคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศภายในเมือง โดยหันมาพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีตัวอย่างที่น่าสนใจจากหลายประเทศ ซึ่งต่างริเริ่มและสานต่อโครงการเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในเมืองและผืนป่า เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตไปพร้อมกับลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการผลิตน้ำมัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยูเออีได้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง เช่น โครงการ “Dubai Green Spine” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สุดในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เมืองดูไบ โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนถนน Sheikh Mohammed Bin Zayed (E311) ให้กลายเป็นทางเดินสีเขียวที่ยาวถึง 64 กิโลเมตร โดยจะมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการใช้รถยนต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง (1)

โครงการยักษ์ใหญ่นี้มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2040 ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นโครงการขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน ทั้งในแง่การทำเกษตรในเมือง การปลูกต้นไม้พื้นเมือง และการลดอุณหภูมิในเมือง การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนได้สัมผัสกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันเมืองยังสามารถรับมือกับปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบพื้นที่เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การเดินเล่น การออกกำลังกาย ไปจนถึงการพักผ่อนในสวนสาธารณะ (1)

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองในธรรมชาติ” (City in Nature) ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวใหม่ ๆ ทั่วเมือง ตลอดจนการปลูกต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะ และที่พักอาศัย รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างและดูแลพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ โครงการ “Singapore Green Plan 2030” ของสิงคโปร์จึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเมืองให้มีความยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต (2)

สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 200 เฮกตาร์ภาย (ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร) ในปี ค.ศ. 2030 และยังมีโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นทั่วประเทศภายในปีเดียวกัน โดยมีการสร้างสวนธรรมชาติ และฟื้นฟูระบบนิเวศในเขตเมือง เพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อนและมลพิษทางอากาศ ที่สำคัญคือการใช้พื้นที่สีเขียวในการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตเมือง (2)

ตัวอย่างโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากทวีปอเมริกาใต้ คือการสร้างพื้นที่คุ้มครองใหม่ในโบลิเวียที่มีชื่อว่า “El Gran Manupare” ซึ่งครอบคลุมกว่า 452,639 เฮกตาร์ (ประมาณ 4,526.39 ตารางกิโลเมตร) ในพื้นที่ป่าแอมะซอนตอนเหนือ การจัดตั้งพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “โมเสกการอนุรักษ์” หรือการสร้างเครือข่ายของพื้นที่คุ้มครอง หรือเขตอนุรักษ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกัน เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องของระบบนิเวศและพื้นที่สีเขียว โดยเชื่อมต่อกับพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ เช่น Reserva Nacional de Vida Silvestre Amazónica Manuripi ทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 10 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 100,000 ตารางกิโลเมตร) ในภูมิภาค พื้นที่ใหม่แห่งนี้มีเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (3)

การขยายพื้นที่สีเขียวของโบลิเวียถือเป็นการเพิ่มความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศ ซึ่งมีการวางแผนร่วมกับองค์กรต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าแอมะซอนที่เป็นปอดของโลก พื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยกักเก็บคาร์บอน แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่นในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรอนุรักษ์ และชุมชนพื้นเมืองในการดูแลและรักษาพื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพ (3)

อีกหนึ่งแนวทางของประเทศในทวีปแอฟริกาที่น่าสนใจคือ โครงการปลูกต้นไม้ประจำปีภายใต้ชื่อ “Green Ghana Day” ของประเทศกานา โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา กานาตั้งเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้ถึง 10 ล้านต้น ซึ่งถือเป็นความพยายามในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของป่าไม้ (4)

โครงการนี้เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2564 และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป โดยในแต่ละปีมีการตั้งเป้าหมายการปลูกต้นไม้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของป่าไม้ และลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศ ความพยายามนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับชาติที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ในด้านการจัดการป่าไม้อย่างมีประสิทธิภาพ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4)

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการปลูกป่าในเมือง และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกถือเป็นการดำเนินการโครงการที่สำคัญ มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศต่าง ๆ ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ไม่เพียงแค่ในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว การลงทุนในพื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ แต่ยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่น ๆ ในการเดินตามรอยการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ทุกการกระทำล้วนส่งผลดีต่อโลกของเราในอนาคต

อ้างอิง:
(1) https://urb.ae/projects/dubai-green-spine/
(2) https://www.nparks.gov.sg/about-us/city-in-nature
(3) https://www.conservation.org/…/in-bolivia-mosaic-of…
(4) https://moi.gov.gh/…/ghana-to-plant-10-million-trees…/

Copyright @2021 – All Right Reserved.