กะช่องฮิลส์ รีสอร์ท ตรัง ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูที่เป็นขั้นกว่าของ Sustainable
“ผมต้องการทำ Regenerative Tourism ซึ่งเป็นขั้นกว่าของ Sustainable ต้องการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เราใช้ทรัพยากรไปเยอะ จึงต้องการให้ลูกค้าได้ตระหนัก เพราะมีส่วนสร้างคาร์บอนฟุตพรินท์เยอะ จึงต้องการให้เขาตระหนักว่าคุณมีส่วนในการช่วยโลกใบนี้ เช่น กลับจากที่นี่ไปจะได้ต้นไม้ไปปลูกด้วย นั่นคือ ต้นกาแฟเขาช่อง”
นี่คือ ความมุ่งมั่นของ มิกซ์-จิรวัฒน์ วิระพรสวรรค์ ผู้บริหาร กะช่องฮิลส์ เต็นท์ รีสอร์ท จ.ตรัง Small Boutique Hotel ที่ทำธุรกิจคู่ขนานไปกับการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืน เขาตั้งใจดึงเสน่ห์ของ “ตรัง” ในฐานะเมืองรองออกมาขายอย่างมีชั้นเชิง ด้วยนักธุรกิจรุ่นใหม่มองว่า ตรังไม่ได้มีแค่ “หมูย่าง” กับ “เค้ก” เท่านั้น
“ตรงนี้ (กะช่อง) อุดมสมบูรณ์มาก เป็นความลงตัวไปหมด ผมเป็น YEC (Young Enterpreneur chamber of commerce — ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้าทั่วประเทศ) จึงมีโอกาสเข้าไปร่วมงานด้านการสร้างสรรค์เมือง อย่างเช่น จ.ตรัง อยากทำเรื่องวัฒนธรรมการกินที่จะส่งทอดจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่
“ผมคุยกับทางจังหวัดว่า เราจะเล่าเรื่องการกิน การเกิด การตาย เอาอาหารไปเล่า เวลาคนมาเที่ยวมากินหมูย่าง กินโหลวหมี่โบราณ ที่เดิมทีมีกินแค่ในงานศพอย่างเดียว ตอนนี้เริ่มมีร้านกลับมาทำบ้างแล้ว”
ตรังจะขับเคลื่อนเรื่อง “การท่องเที่ยวเชิงอาหาร” (Gastronomy Tourism) โดยนำอาหารมาเป็นแรงบันดาลใจและเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการเดินทาง โดยมีเป้าหมายเสนอชิงรางวัลยูเนสโก (เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร (UNESCO Creative City of Gastronomy) เพื่อให้อย่างน้อยให้เมืองเล็ก ๆ เงียบ ๆ ที่มีเสน่ห์ได้ไปอยู่บนกระดานโลก เหมือนเกาะกระดานที่ได้รางวัลเกาะที่สวยที่สุดในโลก (เว็บไซต์ World Beach Guide จัดอันดับให้เกาะกระดาน จ.ตรัง เป็นเกาะอันดับ 1 ชายหาดที่สวยที่สุดในโลก ประจำปี 2566 — เกาะกระดานเป็น 1 ใน 7 ของเกาะของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม)
ความตั้งใจของ มิกซ์ จิรวัฒน์ ในวันนี้อาจแตกต่างจากวันเริ่มต้นมาจับธุรกิจโรงแรม เวลานั้นเขายังไม่มีประสบการณ์ และเมนสตรีมการท่องเที่ยวของตรังก็ยังเป็นทะเล ในขณะที่ทำเลกะช่องฮิลส์ ตั้งอยู่ชายขอบฝั่งทิศใต้ซึ่งติดภูเขา ฝรั่งคงไม่เอนจอยกับ Gastranomy เพราะใคร ๆ ที่เดินทางมาเที่ยวตรังก็อยากไปเที่ยวเกาะ และแวะมากินอาหารในตัวเมืองมากกว่า
ทว่า ด้วยกระแส Camping ที่กำลังมาแรง จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 7 ปีก่อน วันนี้ กะช่องฮิลส์ สามารถเปลี่ยนจุดด้อยให้กลายเป็นจุดเด่น ในขณะที่ทุกคนพูดถึงทะเล แต่ที่นี่ขายภูเขา น้ำตก ธรรมชาติที่มีป่ารายล้อม หันมองซ้ายขวาหน้าหลังแล้วที่นี่จึง Outstanding โดดเด่นขึ้นมาในตลาด
เรียกได้ว่าพื้นที่บริเวณนี้ของ อ.นาโยง เป็น “ไข่แดง” เพราะเชื่อมต่อกับเทือกเขาบรรทัด ติดกับสวนพฤกษศาสตร์เขาช่อง และอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า ด้านหลังทิศตะวันออกเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ติดกับน้ำตกกะช่อง น้ำตกโตนปลิว มีลำธารให้ทำกิจกรรมอาบป่าได้
รีสอร์ทแห่งนี้จึงตั้งอยู่ในเวิ้ง หรือหุบเขา เป็นวัลเลย์ที่มีภูเขาล้อมทุกด้าน “ถือว่าพระยารัษฎาฯ มอบที่ตรงนี้ให้เรามาอยู่ที่นี่ ผมเชื่อว่ามันโดนบังคับให้มาอยู่ที่นี่”
Green Hotel กับการผจญภัยผ่านเต็นท์
ใครเดินทางมาท่องเที่ยวตรังจะมองเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ในแทบทุกถนนเส้นหลัก เมืองถิ่นกำเนิดยางพาราแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการเก็บพื้นที่สีเขียวและรักษาพื้นที่ป่าไว้ ตัวมิกซ์เองในฐานะผู้บริหารจึงต้องการใช้พื้นที่พื้นที่ 35 ไร่ บริเวณนี้ในการเชิดชูธรรมชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
นั่นเป็นที่มาของออกแบบกะช่องฮิลส์ ให้เป็นการผจญภัยผ่านเต็นท์ ใช้ไอเดียจากซาฟารีแคมป์มาเป็นไกด์ไลน์สร้างสถานที่พักผ่อนกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว อย่างที่พัก Exclusive Zone เลือกใช้ผ้าใบแบบซาฟารีให้สอดคล้องแนวทางความยั่งยืน ทั้งรีสอร์ทจึงถูกออกแบบให้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการพักผ่อน
ยกตัวอย่าง มีการออกแบบให้มีช่องลม เน้นประหยัดพลังงาน ติดโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ แม้จะไม่ครอบคลุมทั้งหมด เพราะต้นทุนการเมนเทนแนนซ์ยังสูง และยังไม่พร้อมเรื่องการย่อยสลายแบตเตอร์รี่
“เราทำด้านกรีนอยู่แล้ว ให้ทาง อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน) มาเช็กเรื่องการผลิตคาร์บอนฟุตพรินท์ว่า การมาเที่ยวแต่ละครั้งเท่าไหร่ แต่ละคนมีคาร์บอนฟุตพรินท์เท่าไหร่ เราฟื้นฟูการท่องเที่ยวโดยให้ทุกคนมีส่วนฟื้นฟูโลก ด้วยการแจกต้นกาแฟเขาช่องให้ลูกค้านำกลับไปปลูกด้วย 2 ต้น เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตกลับมาให้โลก คุณจะได้ Regenerative ให้กับโลก และเรายังรื้อฟื้นกาแฟเขาช่องให้กลับมาเป็นอัตตลักษณ์ของตรังอีกด้วย
“ถ้าเขามาเองก็มาดูเฉพาะการใช้ชีวิตที่นี่ว่า ลดคาร์บอนได้เท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อแพกเกจ เราจะไปรับจากสนามบินด้วยรถไฟฟ้ามานอนที่นี่ แต่ถ้าลูกค้าออกไปเที่ยวข้างนอกเองก็ต้องมาคำนวณเพิ่มเติม แต่ถ้ากินอยู่ เช่น กินใบเหลียงที่ซื้อมาจากชาวบ้าน กินข้าวเบายอดม่วงจากชุมชน และพืชผักวัตถุดิบที่เป็นเกษตรทางเลือก หรือเกษตรอินทรีย์ (มิกซ์บอกไม่กล้าใช้คำว่าออร์แกนิก) ที่มาจากชุมชน และยังมีการจัดการขยะอาหารส่งต่อไปเป็นปุ๋ยให้เกษตรกรไม่ใช้ปุ๋ยเคมี”
หมูย่าง-เกาหยุก-ข้าวเบายอดม่วง
ถ้าตรังมีโมโดลธุรกิจเดียวกับ กะช่องฮิลส์ หรือ Villa Pateh (โรงแรมบูทีกใน อ.สิเกา) สักสิบแห่ง มิกซ์มั่นใจว่า การท่องเที่ยวตรังจะกระฉุด โดยเฉพาะการเล่าเรื่องชุมชน เล่าเรื่องความภาคภูมิใจที่มีให้คนอื่นได้มาเห็น และเรียนรู้
“ถ้าผมทำได้เมืองก็ไปได้ มันเป็นพาร์ทของ Sustainable Tourism ซึ่งไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของธุรกิจ ถ้าไม่ทำตกขบวนแน่นอน คุณจะโดนรังเกียจจากสังคมแน่นอน เรามี Mind set ที่ถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาโดยไม่รู้ตัวจากครอบครัวที่ทำของเล่นจากไม้ จึงเป็น Mind set ที่เป็นเดย์วันที่เราคิดเริ่มต้นที่นี่ขึ้นมา”
หลายคนคงอยากรู้ว่ามาเที่ยวตรังจะกินหมูย่างร้านไหนดี ร้านไหนคือเจ้าเด็ด เพราะถ้าคุณขับรถวนในตลาดและรอบๆ เมือง บอกเลยว่า ไม่มีทางเลือกถูก เพราะมีร้านอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะริมถนนตรัง-พัทลุง บริเวณแยกท่าปาบละลานตาไปด้วยร้านขายหมูย่างชื่อสารพัดโก
“หมูย่างต้องกินตอนเช้าเพราะจะไม่อร่อย เช่น ร้านโกเภา (มีชื่อเป็นที่นิยม) ต้องไปเช้ามาก ถ้าไม่จองไม่ได้กิน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะตื่นไปกินไม่ทัน เราจึงผุดไอเดียแกงส้มหมูย่างที่ใช้พริกแกงตำมือจากตลาดนาโยงที่มีชื่อดังมาก ขายทั่วทั้งจังหวัด เราใส่ทุเรียนลงไปด้วย พอฝนตกลมแรง ทุเรียนตกก่อนก็นำมาใส่ในแกงส้ม โดยได้แรงบันดาลใจจากจันทบุรีที่เขาเอาไปใส่ในมัสมั่น
“แกงส้มหมูย่างจึงเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่นี่ มาที่นี่ต้องกินแกงส้มหมูย่างใส่ทุเรียน เรายังมีเมนูพิซซ่าหน้าหมูย่าง และเมนูเกาหยุกที่ไม่ตายไม่ได้กิน ซึ่งต่างจากเกาหยุกที่อื่น ที่ตรังเป็นจีนแคะ จีนฮกเกี้ยน ฮากกา ก็เลยเป็นสูตรหมูสามชั้นกับเผือก กรรมวิธีทำเกาหยุกค่อนข้างยุ่งยากในการทำขาย จึงทำเฉพาะในงานพิเศษอย่างงานศพ ซึ่งคนรุ่นใหม่ได้นำกลับมาทำจนกลายเป็นกระแสว่ามาตรังต้องมากินเกาหยุก”
อีกเมนูที่มิกซ์แนะนำคือ หมี่น้ำหลอ อาหารประจำถิ่นของคนตรัง ซึ่งเขาให้ยายสอนให้ทำ จนเชฟทำได้ออกมารสใกล้เคียงที่สุด 99%
“หมูย่างผมกินร้านโกจิ๋ว ร้านบัวบก หรือหมูย่างโกแก่ ที่ตอนนี้มีชื่อเสียงหลังมีรายการสารคดีทำลง Netflix และแมกาซีนชื่อดัง ที่ร้านผมเลือกเนื้อส่วนสะโพกหลังที่มีแค่หนึ่งคืบของหมูหนึ่งตัว ส่วนนี้จะลีนไขมัน อยู่ใกล้ไฟมากสุด ถือว่าเป็นส่วนที่อร่อยสุด หมดซื้อใหม่ มาทำแกงส้มทุกวัน”
หลังโควิดที่ผ่านมาคนตรังกลับบ้านมาเปิดร้านอาหารกันเยอะ มิกซ์และเพื่อนๆ คนรุ่นใหม่จึงรวมตัวกันพูดคุยถึงเรื่องอนาคตของอาหารเมืองตรัง ไม่ได้กินแค่เกาหยุก หมูย่าง แต่ต้องต่อยอดเมนูเหล่านี้ให้มีมูลค่ามากกว่านี้ จึงเป็นที่มาที่กะช่องฮิลส์ เริ่มมาทำเชฟเทเบิ้ล “คิมหันต์ ๕” จัดเพียง 2 รอบ เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มจากฝีมือคนทำอาหาร 10 คน จาก 7 ร้านอาหารจีนและบาร์ในจังหวัดตรัง
“ปีแรกกำหนดโจทย์นำสินค้าพื้นถิ่น จ.ตรัง มาเล่าผ่านรสมือแห่งความทรงจำ กลายเป็นว่าทุกคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง ของผมก็จะเป็นรสบ้านๆ แบบไฮบริด จากที่คิดทำสนุกๆ แต่สุดท้ายเพื่อนๆ เสนอรสชาติอาหารใหม่ๆ กระบวนการทำงานแบบใหม่ เล่าเรื่องแบบใหม่ๆ สามารถขายได้และไปต่อ”
มิกซ์ บอกว่าในเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้จะมีนิตยสาร Bon Appétit ฟู๊ดแมกกาซีนระดับโลกจากอเมริกา จัดทริปตาม “เชฟนก” [จุฑาทิพ สุนทรนนท์ ล่าสุดคว้ารางวัลสุดยอดเชฟหญิงแห่งอเมริกาเหนือ (North America’s Best Female Chef Award 2025) จาก The World’s 50 Best Restaurant] ซึ่งพื้นเพครอบครัวขายเครื่องแกงอยู่ที่ อ.ย่านตาขาว
เธอเป็นแอร์และได้สามีฝรั่ง ไปเปิดร้านอาหารชื่อร้านกัลยา อยู่ที่ฟิลาเดลเฟีย แมกกาซีนฉบับนี้จะตามเชฟนกมากินที่ จ.ตรัง และจะมานอนที่กะช่อง ฮิลส์ 3 คืน จองกินเชฟเทเบิ้ล 4 รอบ หนึ่งในนั้นจะเป็นคิมหันต์ ๕ ที่เล่าเรื่องการกินที่ Extraordinary หัวละ 5,000 บาท
จากเริ่มทำสนุกๆ มิกซ์บอกว่า เกิดเป็นรายได้และกลายเป็นเชฟเทเบิ้ลที่เดียวในตรัง เป็นการขับเคลื่อนเรื่องอาหารที่เป็นรูปธรรม ซึ่งก่อนนี้ได้เชิญเชฟป้อม เชฟกระทะเหล็กมาจัดโต๊ะจีนเวอร์ชั่นเชฟกระทะเหล็ก 20 โต๊ะ 200 ที่นั่ง โดยเชฟจะต้องใช้วัตถุดิบจากตรังเท่านั้น แต่งานนี้กลับขาดทุนเพราะเชฟป้อมต้องการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด ต้นทุนจึงจมไปกับเนื้อวากิวปะเหลียน
“เชฟป้อมเอา Prime Rib ที่วัวหนึ่งตัวมีอยู่แค่ 5% นำมาเสิร์ฟ 20 โต๊ะ เชฟฆ่าวัวไปแล้ว 20 ตัว (หัวเราะ) และก็ขาดทุนเพราะเนื้อส่วนนี้ชิ้นหนึ่งแพง จากปกติวากิวก็แพงอยู่แล้ว พอเป็นวากิวปะเหลียนก็ยิ่งแพงเข้าไปอีก เพราะที่นี่ไม่มีโรงฆ่าสัตว์ ต้องส่งไปทำที่ราชบุรีและส่งกลับมา ทำให้มีต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น ร้องไห้เลยครับ แต่ก็สนุก เชฟเข้าใจโจทย์ ทำให้คนตรังที่มากินว้าวมาก สามารถทำอาหารจีนที่มาจากวัตถุดิบในตรัง ซึ่งทำให้คนตรังได้ประสบการณ์ และเฝ้ารอว่า ปีนี้เราจะเล่าเรื่องอะไร”
ล่าสุด “เชฟจี่เกีย” เชฟอีสานสันดานญี่ปุ่น เป็นไปเป็นดีไซเนอร์ออกแบบรถโตโยต้าที่ญี่ปุ่น แล้วกลับมาเปิดร้านปิ้งย่าง ภายใต้คอนเซ็ปต์อาหารอีสานอิซากายะแบบญี่ปุ่น ซึ่งดังมาก มิกซ์ไปเจอกันที่งานปักษ์ใต้เอเชียวีค จึงชักชวนมาทำอาหารอิซากายะที่กะช่องฮิลส์ เปิดเป็นเคาน์เตอร์บาร์ปิ้งย่างขายไป 30 กว่าที่นั่ง
นอกจากขับเคลื่อนเรื่องเล่าอาหารผ่านฝีมือเชฟ ที่กะช่องฮิลส์ ยังเน้นการต่อยอดเมนูอาหารให้อินเตอร์มากขึ้น โดยเลือก “ข้าวเบายอดม่วง” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มาหุงให้ลูกค้ากิน เพราะเป็นข้าวที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ คาร์บต่ำ น้ำตาลต่ำ โปรตีนสูง เหมาะกับคนดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือคนชรา
เวลานี้กะช่อง ฮิลส์ เสิร์ฟข้าวเบายอดม่วง 100% เป็นข้าวที่กินแล้วสนุก มีสองเทกเจอร์ แต่ขึ้นกับว่าจะได้สีม่วงทั้งหมด หรือม่วงขาว ที่อร่อยคือม่วงขาว มีทั้งเม็ดที่เคลือบและมีสีขาวที่กินแล้วคล้ายข้าวเจ้า มีความหนึบ เคี้ยวไปคล้ายข้าวเจ้าเหนียว การส่งเสริมข้าวสายพันธุ์นี้นอกจากช่วยให้ข้าวของคนตรังได้ไปต่อ ยังหนุนเสริมการเป็นเมืองกิน 9 มื้อของจังหวัด อย่างการต่อยอดข้าวเบายอดม่วงทำเส้นพาสต้า สูตรกูเต็นฟี และสูตรที่ผสมแป้งสาลี ทำขนมปัง — นี่คือการต่อยอดเมนู Local to Global
“จะดีกว่าไหมที่เราได้มีข้าวที่ทำจากชุมชนเรา ไม่ต้องขนส่งจากข้างนอก เป็นข้าวที่สดใหม่ ไม่ต้องทำเยอะ แต่จะทำอย่างไรให้คนยอมรับความเป็นข้าวกล้อง ก็เลยนำไปทำอย่างอื่นที่สามารถเข้าถึงได้มากกว่าขึ้น”
นาหมื่นศรี-นาโยงพื้นที่ปลูกข้าวที่ดีที่สุด
จากการตั้งคำถามที่ว่า จะมีข้าวดีๆ ที่คนตรังปลูกให้คนตรังกินไหม ต่อมาผู้ว่าฯ ในเวลานั้นเก็ตไอเดีย จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริมให้คนตรังได้กินข้าวดีๆ หรือให้โลกใบนี้ได้กินข้าวดีๆ ผ่านคนตรัง จากนั้นมีการทำวิจัยและคลอดข้าวเบายอดม่วงออกมาเป็นสินค้า GI เมื่อปี 2566 (ปัจจุบันข้าวที่ผลิตขึ้นใน จ.ตรังมีปริมาณพอเลี้ยงคนตรังได้เพียงราวๆ 2% นอกนั้นคนตรังต้องซื้อข้าวจากที่อื่นมาบริโภค..ทำให้พ่อค้าคนกลางต้องรมยากันมอดเพื่อให้ข้าวเก็บได้นาน — the cloud)
นาโยงเป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่ดีที่สุดเพราะมีน้ำตกเขากะช่องที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำตรัง ไหลไปตามที่ราบลุ่มผ่านตัวเมือง และออกทะเลที่อ่าวกันตัง ซึ่งตำบลบริเวณนี้จะขึ้นชื่อด้วยคำว่า นา เพราะทุกพื้นที่ทำนากันหมด เช่น มี ต.นาข้าวเสีย มีพื้นที่ยาวไปถึง อ.ห้วยยอด นาโยงจึงเป็นพื้นที่ปลูกข้าวผืนสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งอันดามัน
“ต.นาข้าวเสียมีประวัติศาสตร์ว่าในอดีตไม่มีส่วยอย่างอื่นที่จะส่ง ก็แลยใช้ข้าวส่งเสียภาษีแทน มีเรื่องราวเกี่ยวกับข้าว และนาหมื่นศรียังมีการอนุรักษ์พื้นที่การทำนา เพราะเพราะช่วงหนึ่งบูมจนมีการเปิดร้านส้มตำหรือคาเฟ่กันเต็มไปหมด แต่ไม่กำหนดทิศทางที่ชัดเจน ตอนนี้ภาครัฐจึงมีแผนการพัฒนาพื้นที่จนกลายเป็นแลนด์มาร์กไปแล้ว”
นอกจากนั้น นาหมื่นศรียังมีประเพณีท้องถิ่น อย่างการเล่นลูกลม เป็นของเล่นในช่วงหน้าข้าวตั้งท้อง เป็นกังหันที่ชูขึ้นไปบนอากาศและมีเสียงดังว้องๆ ช่วงหน้าข้าวตั้งท้องจะมีการประกวดความสวยหรือของใครเสียงดังสุด จนกลายเป็นเทศกาลลูกลมประจำพื้นที่ มีงบประมาณท่องเที่ยวเข้าไปสนับสนุนปีละ 3 ล้านบาท และยังมีถ้ำช้างหาย ถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยมาก และได้รับการคัดเลือกให้เป็น ถ้ำแห่งชาติ 1 ใน 11 แห่ง จากคณะกรรมการบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ
ความโดดเด่นอีกอย่างที่นาโยงคือ ผ้าทอนาหมื่นศรีที่เป็นแหล่งทอผ้าชื่อดังของจังหวัด เมื่อ 7 ปีก่อน ทางบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาเปิดโครงการศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรีเพื่อสืบสานวิถีชุมชนเกษตรหัตถกรรมผ้าทอมือโบราณ (ข้อมูลเซ็นทรัล ปี 2565 ระบุว่า สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนแห่งนี้ 56 ล้านบาท แก 155 ครัวเรือน) โดยสั่งผลิตเสื้อผ้าทอมือภายใต้แบรนด์ Good Goods ซึ่งผ้าทอนาหมื่นศรีเป็นผ้าทอแบบยกดอก (มีลักษณะเป็นเส้นนูนและทอด้วยกี่ไม้) ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียง และน่าจะเป็นพื้นที่สุดท้ายของภาคใต้ที่มีการทอผ้าลักษณะนี้
รื้อฟื้นการปลูกกาแฟเขาช่อง
กาแฟเขาช่อง เป็นหนึ่งในผลผลิตด้านการเกษตรที่พระยารัษฎาฯ นำมาสนับสนุนให้คนตรังได้มีอาชีพมีรายได้นอกเหนือจากยางพารา โดยมิกซ์บอกว่าคุณพ่อของเขาต้องการส่งเสริมให้ชาวสวนยางปลูกกาแฟในสวนยางเป็นรายได้เสริม
เดิมทีเจ้าของกาแฟเขาช่องเป็นคนภาคกลาง แต่มาอยู่ที่นาโยง พอย้ายไปเปิดร้านในเมืองก็ไปทำกาแฟสำเร็จรูปและมีการนำเข้าบ้าง ทำให้การปลูกกาแฟโรบัสต้าลดลง “คุณพ่อจึงไปสร้างวิสาหกิจชุมชนกาแฟมานิที่เทือกเขาบรรทัด ให้ผู้นำชุมชนเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อเฉพาะกาแฟในชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีกำลังใจหันมาปลูกกันมากขึ้น หรือปลูกแซมในสวนยาง
“ผมเชิญเจ้าของร้านกาแฟที่ระยอง เขาเป็น Q Grader มา process กาแฟอะราบิก้า และกาแฟโรบัสต้า มาจัดเวิร์กช็อปให้ชาวบ้านเข้าใจ fine robusta ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่ากาแฟโรบัสต้าให้ได้คุณภาพสูง มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการแปรรูป เพื่อยกระดับรสชาติจากเดิมที่เน้นความเข้มข้นให้มีความซับซ้อนมากขึ้น มีกลิ่นและรสชาติที่หลากหลาย กาแฟเขาช่องมีแบรนด์ที่แข็งแรงอยู่แล้ว หากมีการปลูกมากขึ้นก็จะช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนมากขึ้นด้วย”
ที่มารีสอร์ทกลางป่าของกะช่อง ฮิลส์
มิกซ์ จิรวัฒน์ ชวนเราเดินไปชมสถานที่โดยรอบและห้องพักแต่ละแบบ พร้อมกับชี้จุดให้ดูว่า ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง (ชี้จุดที่คุณพ่อมายืนในวันแรก) เขาเล่าที่มาว่า ป๊า (ดร.ประพล วิระพรสวรรค์ ประธานกรรมการบริหาร กะช่องฮิลส์ เต็นท์ รีสอร์ท) ซื้อที่ตรงมาด้วยความบังเอิญ เมื่อวันหนึ่งปั่นจักรยานผ่านมาแวะพักบริเวณนี้ (ที่ติดถนนเพชรเกษม หมายเลข 4) และขึ้นไปยืนมองจากมุมสูง พอกลับไปบ้านจึงบอกแม่ว่าไปเจอที่ตรงนี้มาสวยมากอยากไปอยู่
“จากนั้นไม่นานป๊าไปเที่ยวซาปา ก็ยิ่งเกิดแรงบันดาลใจ พอกลับมาเจ้าของที่ดินเอาที่ตรงนี้ไปฝากขาย แล้วเอกสารก็เวียนไปที่ยายผม ยายก็มาบอกว่า เพื่อนแกมาฝากขายที่ดิน เผื่อสนใจ เอาเอกสารมาวางตรงหน้าแม่ แล้วก็กางดูเป็นที่ที่นาโยง ต.กะช่อง จากนั้นก็เรียกนายหน้าไปดูที่ อีกสามอาทิตย์ก็ซื้อเลย
“ตอนแรกซื้อมา 18 ไร่ และทยอยซื้อจนได้มา 35 ไร่ ขาดอย่างเดียวคือไม่ติดทะเล ซึ่งเขาคงเลือกมาให้ผมดูแลป่า ที่ตรงนี้รัชกาลที่ 6 เคยเสด็จมาประทับ (น้ำตกกะช่อง) มาสร้างค่ายลูกเสือป่า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมออกแบบเป็นแกลมปิ้ง รีสอร์ท (Glamping Resort) ผมจบสถาปัตย์ ป๊าเลยให้ออกแบบเองทั้งหมด
“ที่นี่ตรงนี้เป็นของขุนกะช่อง ในสมัยพระยารัษฎาฯ [พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังในสมัยรัชกาลที่ 5] ให้ตัดถนนเส้นนี้เพื่อเชื่อมอันดามันกับอ่าวไทยเป็นเส้นทางขนส่งและให้เกิดความเจริญขึ้น ขุนกะช่องเป็นคนดูแลหมู่บ้านตรงนี้และเป็นคนแบกเสลี่ยงให้พระยารัษฎาฯ
“พอเปิดป่าสำเร็จก็ได้รับความดีความชอบให้ดูแลพื้นที่ตรงนี้ คนตรงนี้ก็เป็นลูกหลานขุนกะช่องทั้งหมดเลย ยกเว้นบ้านผมบ้านเดียว และก็ออกโฉนดได้หมดทุกพื้นที่ (พื้นที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่น่าจะออกโฉนดได้) ข้างบนที่เป็นของเพื่อนผมก็เป็นลูกหลานขุนกะช่อง ส่วนใหญ่ลูกหลานเขาจะไม่ขายที่ แต่จะส่งต่อกัน
“ผมอาจจะเป็นลูกหลานแกก็ได้ถึงได้มาครอบครองที่ดินตรงนี้ 35 ไร่ ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ป๊าเคยทำมิวเซียมเกี่ยวกับยุคของพระยารัษฎาฯ ตรงวงเวียนพระยารัษฎาฯ แต่ทำได้แค่ประมาณหนึ่ง ติดปัญหา ก็เลยจุดธูปว่าจะไปช่วยทำอย่างอื่นแล้วกัน แกคงให้รางวัลมาช่วยชุมชนตรงนี้ต่อ”
การปั่นจักรยานในวันนั้นเมื่อ 7 ปีที่แล้วของ ดร.ประพล จึงเป็นจุดเปลี่ยนของ “ครอบครัววิระพรสวรรค์” ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่มิกซ์จบจากสถาปัตย์ จุฬาฯ พอดี และกระแสแคมปิ้งก็ต้อนรับธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของกะช่องฮิลส์ ให้เป็นสถานที่พ้กผ่อน พร้อมการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ต้อนรับผู้มาเยือนมาถึงจนทุกวันนี้