กำแพงกันคลื่น ‘หาดสมิหลา-ชลาทัศน์’ สู่ 3 ประเด็นวินิจฉัย ศาลปกครอง

by Pom Pom

“หาดสมิหลา-ชลาทัศน์” เผชิญวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวท้องถิ่น คดีฟ้องร้องสะท้อนความล้มเหลวในการจัดการ เมื่อศาลตัดสิน โครงการป้องกันไม่ชอบด้วยกฎหมาย สั่งแก้ไขภายใน 120 วัน เพื่อปกป้องชายหาดสงขลาให้ยั่งยืน

หาดสมิหลาและหาดชลาทัศน์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะหาดสมิหลาที่มีอนุสาวรีย์ปลาโลมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัด และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ชายฝั่งของทั้งสองหาด ได้เผชิญกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในท้องถิ่น รวมถึงการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง

สภาพพื้นที่ ชายหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครสงขลา เป็นชายหาดทรายยาวประมาณ 7.8 กิโลเมตร ตั้งแต่หัวนายแรง ถึงแหลมสนอ่อน พื้นที่นี้มีจุดเริ่มต้นการกัดเซาะชายฝั่งมาตั้งแต่ปลายปี 2545 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

การกัดเซาะชายฝั่ง

การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการที่ชายฝั่งถูกพัดพาไปด้วยกระแสน้ำและคลื่น ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล ภาวะโลกร้อน การก่อสร้างที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีการวางแผนการจัดการชายฝั่งอย่างยั่งยืน และกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่ง

ที่ หาดสมิหลา-ชลาทัศน์ ปัญหาการกัดเซาะเริ่มชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการกัดเซาะที่ลึกลงไปเรื่อยๆ ทำให้พื้นที่ชายหาดแคบลง จนเกิดผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การลดลงของพื้นที่ชายหาด ทำให้ความสวยงามและจุดท่องเที่ยวสำคัญหายไป นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่อาศัยอยู่ในชายฝั่ง เช่น ปะการัง และสัตว์ทะเลที่ต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว

ปัญหาการกัดเซาะบริเวณหาดสมิหลา เข้าขั้นวิกฤต ถึงขั้นที่ นายพีระ ตันติเศรณี อดีตนายกเทศมนตรีนครสงขลา บอกไว้ว่า มีการคาดการณ์ว่า หาดสมิหลา อาจจะหายไปภายในเวลา 5 ปี

การแก้ปัญหา การกัดเซาะหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ สู่คดีฟ้องร้อง

นับตั้งแต่ปี 2558 ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลาและหาดชลาทัศน์ ได้พัฒนาไปสู่การฟ้องร้องระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน กลุ่มต่างๆ เช่น สงขลาฟอรั่ม, กลุ่ม Beach for Life และกลุ่มชุมชนประมงบาลาเซาะเก้าเส้ง เนื่องจากโครงการนี้ไม่ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีการโต้แย้งเกี่ยวกับการจัดการปัญหานี้ โดยเฉพาะการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การฟ้องร้องเกิดขึ้น หลังจากที่การกัดเซาะเริ่มทำลายโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ เช่น ถนนทางเดินริมทะเล อาคารของร้านค้า และอื่นๆ ซึ่งฝ่ายเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะได้ยื่นฟ้องรัฐบาลในข้อหาบริหารจัดการปัญหาชายฝั่งที่ไม่ดีพอ และไม่สามารถป้องกันปัญหาการกัดเซาะที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านรัฐบาลได้โต้แย้งว่า การกัดเซาะชายฝั่งเกิดขึ้นจากกระบวนการธรรมชาติที่ยากต่อการควบคุม และได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น การสร้างกำแพงกันคลื่นและการปลูกหญ้าชายทะเลเพื่อบรรเทาผลกระทบ แต่ยังคงเกิดปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่เหล่านั้น

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงของโครงการที่เกิดขึ้น โครงการป้องกันชายหาดฯได้เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่ช่วงประมาณ มิถุนายน 2558 โดยใช้โครงสร้างป้องกันชายฝั่งเป็นแท่งคอนกรีตต่อกันเป็นแนวยาวรวม 48 เมตรต่อ 1 แถว รวม 17 แถว ตลอดความยาว ชายหาด 1.1 กิโลเมตร พร้อมการถมทรายเสริม เพื่อเพิ่มความกว้างชายหาดไปอีก 30-50 เมตร ตลอดแนว รวมใช้ทรายประมาณ 144,000 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณรวม 17.5 ล้านบาท โดยแยกการดำเนินงาน เป็น 2 เฟส กำหนดแล้วเสร็จปลายเดือนตุลาคม 2558

ศาลปกครองพิจารณาคดีครั้งแรก โครงการป้องกันการกัดเซาะหาดชลาทัศน์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยการปฎิบัติหน้าที่

การฟ้องร้องดำเนินมาจน 18 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งนับเป็นการพิจารณาคดีครั้งแรกของศาลปกครอง โดยยื่นฟ้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) กรมเจ้าท่า(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) และเทศบาลนครสงขลา(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5) ภายหลังศาลปกครองสงขลาได้มีคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ประการ:

  1. โครงการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการ
  2. การเติมทรายบนชายหาด ถือเป็นการถมที่ดินในทะเล ซึ่งต้องมีการจัดทำรายงาน EIA แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการตามข้อกำหนด
  3. การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก็ไม่เป็นไปตามระเบียบของรัฐ จึงถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีบางราย ได้ละเลยหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจในการดูแล และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่ถูกต้อง สุดท้าย ศาลตัดสินให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ดำเนินการตามกรอบอำนาจหน้าที่ภายใน 120 วัน และคำขออื่นๆ ให้ยกไป

หลังจากนี้ ศาลตุลาการจะมีการประชุมเพื่อจัดทำคำพิพากษาปกครองสูงสุด จะมีการนัดฟังคำพิพากษาศาลสูงสุดในคดีนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลาและหาดชลาทัศน์ เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม แต่ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวท้องถิ่น การฟ้องร้องที่เกิดขึ้น ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เป็นกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนการจัดการชายฝั่งอย่างยั่งยืน และมีการประสานงานระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเกิดผลดีในระยะยาว ทั้งในแง่ของการปกป้องสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่.

อ้างอิง :

Copyright @2021 – All Right Reserved.