ปริมาณขยะมูลฝอยทั่วโลกจะเพิ่มจาก 2,300 ล้านตันในปี 2023 เป็น 3,800 ล้านตันในปี 2050 หากไม่จัดการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการลดขยะให้เหลือศูนย์
ปัญหาขยะล้นโลกกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยาก ขยะอาหารที่สูญเปล่า หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยะเหล่านี้สร้างผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของมนุษย์ และทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ข้อมูลจากรายงาน Global Waste Management Outlook 2024 โดย UNEP ระบุว่า ปริมาณขยะมูลฝอยทั่วโลกจะเพิ่มจาก 2,300 ล้านตันในปี 2023 เป็น 3,800 ล้านตันในปี 2050 หากไร้การจัดการที่เหมาะสม (1)
แนวคิด “Zero Waste” หรือการลดขยะให้เหลือศูนย์เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน ด้วยการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทรัพยากร และการลดการผลิตขยะตั้งแต่ต้นทาง หลายเมืองและประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่า แนวคิดนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้
นอกจากการจัดการขยะในระดับครัวเรือนแล้ว คามิคัตสึยังมีร้าน Kuru Kuru ที่เปิดโอกาสให้ชาวเมืองนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาค และผู้ที่ต้องการสามารถนำไปใช้ต่อได้ฟรี
บนเกาะบอร์นโฮล์ม เดนมาร์ก ซึ่งมีประชากรเพียง 40,000 คน โครงการ “เกาะไร้ขยะ” ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยเป้าหมายที่ท้าทายคือ การเป็นเกาะปลอดขยะภายในปี 2032 เกาะนี้ได้พัฒนาระบบคัดแยกขยะที่ทันสมัย และสร้างความร่วมมือจากประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะอย่างถูกวิธี และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรซ้ำในชุมชน
ไม่เพียงแค่นั้น เกาะบอร์นโฮล์มยังได้ลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลที่สามารถนำขยะกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ เป้าหมายนี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนด้วย ซึ่งมีผู้คนมาเยี่ยมชมเกาะแห่งนี้เป็นประจำทุกปีสูงกว่า 600,000 คน (2)
อีกหนึ่งตัวอย่างที่โดดเด่นคือ บ้านปลอดขยะในเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย บ้านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุรีไซเคิลทั้งหมด พร้อมระบบพลังงานแสงอาทิตย์และระบบน้ำฝนที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรในครัวเรือน ภายในบ้านยังมีระบบหมุนเวียนทรัพยากร เช่น ระบบคอมโพสต์ ระบบการปลูกพืชด้วยน้ำหมุนเวียน และการจัดการขยะอินทรีย์อย่างครบวงจร บ้านนี้เป็นต้นแบบที่พิสูจน์ว่า การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนสามารถทำได้จริง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับครอบครัวในเมืองใหญ่ทั่วโลก (2)
หากพูดถึงเมืองต้นแบบ “Kamikatsu” (คามิคัตสึ) เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาของญี่ปุ่นที่มีประชากรแค่ 1,500 คน มักถูกกล่าวถึงเสมอ เมืองปราศจากขยะแห่งนี้เริ่มต้นแนวคิด Zero Waste ตั้งแต่ปี 2003 โดยมีกลไกการคัดแยกขยะที่ละเอียดและเคร่งครัดถึง 45 ประเภท ทำให้เมืองนี้มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่า จะสามารถบรรลุเป้าหมายเกิน 80% ในการบรรลุเป้าหมายขยะเป็นศูนย์ภายในปี 2030 (2)
ชาวเมืองคามิคัตสึจะต้องแยกขยะตั้งแต่ในครัวเรือน และนำไปที่สถานีจัดการขยะที่จัดเตรียมไว้ นอกจากการแยกขยะแล้ว เมืองยังได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับขยะ (Zero Waste Academy) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้ความรู้และสนับสนุนชุมชนในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เมืองนี้สามารถนำขยะกว่า 80% กลับมาใช้ใหม่ เทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่สามารถรีไซเคิลได้เพียง 20% เท่านั้น และกำลังมุ่งสู่เป้าหมายการลดขยะเหลือศูนย์อย่างสมบูรณ์ (3)(4)
ในช่วงปี 1950 ญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลอย่างจริงจัง แต่เมื่อเศรษฐกิจเติบโตหลังสงคราม โรงงานต่าง ๆ ก็เริ่มทิ้งขยะอุตสาหกรรมจำนวนมาก และการพัฒนาเมืองก็สร้างเศษวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ขยะในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าในช่วง 20 ปี จาก 8.9 ล้านตันในปี 1960 เป็น 43.9 ล้านตันในปี 1980 ตามรายงานของกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น ขยะในปี 2016 สูงถึง 43.2 ล้านตัน หรือเท่ากับสนามเบสบอลโตเกียวโดม 116 สนาม เพื่อจัดการขยะนี้ เทศบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศต้องลงทุนสร้างเตาเผาขยะ และหาวิธีจัดเก็บขยะให้ทันกับปริมาณที่เพิ่มขึ้น (5)
นอกจากการจัดการขยะในระดับครัวเรือนแล้ว คามิคัตสึยังมีร้าน Kuru Kuru ที่เปิดโอกาสให้ชาวเมืองนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาค และผู้ที่ต้องการสามารถนำไปใช้ต่อได้ฟรี นอกจากนี้ เมืองยังสร้างระบบสะสมแต้มสำหรับผู้ที่คัดแยกขยะอย่างถูกต้อง ซึ่งแต้มเหล่านี้สามารถนำไปแลกสิ่งของ เช่น กระเป๋า หมวก หรือกระติกน้ำ วิธีการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดขยะ แต่ยังสร้างความสามัคคี และความร่วมมือในชุมชนได้อย่างดีเยี่ยม (2)
ในขณะเดียวกัน แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ก็ได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น คอสตาริกา สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้นำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน ประเทศคอสตาริกาได้ยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง และส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สิงคโปร์มีแผนแม่บทขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste Master Plan) ที่มุ่งลดปริมาณขยะที่จะส่งไปยังพื้นที่ฝังกลบลงหนึ่งในสาม ภายในปี 2030 และเนเธอร์แลนด์ได้ตั้งเป้าหมายลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลง 50% ภายในปี 2030 พร้อมส่งเสริมการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลในกระบวนการผลิต (6)
“ไม่มีสิ่งใดเป็นขยะ หากสิ่งนั้นอยู่ถูกที่” คือหลักการสำคัญที่สวีเดนยึดถือในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศนี้แทบจะปราศจากขยะไปโดยสิ้นเชิง ผ่านการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งระดับนโยบาย กฎหมาย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม (7)
สวีเดนเป็นประเทศแรกของโลกที่บังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 1967 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนพลังงานไฟฟ้ากว่า 60% ของประเทศมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน วันนี้สวีเดนกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นประเทศที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิล 100% ภายในปี 2045 ด้วยการออกนโยบายที่เข้มงวด เช่น การเก็บภาษีขยะฝังกลบ การกำหนดให้ผู้ผลิตรับผิดชอบตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ให้คุณค่ากับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ทุกมาตรการเหล่านี้ช่วยให้สวีเดนยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดในการจัดการขยะและปกป้องสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน และน่าทึ่งในระดับโลก (7)
ตัวอย่างเมืองต้นแบบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือจากชุมชนและภาครัฐคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการจัดการขยะเหลือศูนย์ การผสานเทคโนโลยี ระบบที่มีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สามารถเปลี่ยนแนวคิดและสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต การเรียนรู้จากเมืองและประเทศต้นแบบเหล่านี้จึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับทุกพื้นที่ที่ต้องการสร้างโลกยั่งยืนที่ปลอดมลพิษจากขยะ
อ้างอิง:
(1) https://www.sdgmove.com/2024/02/29/unep-report-beyond-an-age-of-waste/?utm_source=chatgpt.com
(2) https://sensoneo.com/waste-library/best-zero-waste-projects/
(3) https://readthecloud.co/kamikatsu-zero-waste/
(4) https://adaymagazine.com/kamikatsu-zero-waste/
(5) https://www.nippon.com/en/guide-to-japan/gu900038/
(6) https://www.globalcompact-th.com/3CEModels
(7) https://trueblog.dtac.co.th/blog/sweden-model/
ภาพจาก Nippon.com